ใครที่คลุกคลีอยู่ในวงการการตลาดออนไลน์คงรู้กันดีอยู่แล้วว่ากลยุทธ์การตลาดออนไลน์อย่างการทำ SEO (Search Engine Optimization) และ PPC (Pay Per Click) เป็นส่วนสำคัญของแผนการตลาดออนไลน์ของทุกกลุ่มธุรกิจในปัจจุบัน

การลงทุนไปกับการทำ SEO หรือ PPC เพื่อโปรโมตสินค้าหรือบริการต่างๆ ของแบรนด์ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำเป็นลำดับต้นๆ ของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในตลาดดิจิทัล ณ เวลานี้เลยก็ว่าได้

แต่คำถามคือ ถ้าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นก่อตั้งได้ไม่นาน แถมไม่มีงบประมาณพอที่จะรองรับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์แบบจ่ายทีเดียวจบ การเลือกใช้กลยุทธ์เหล่านี้จะเป็นเรื่องที่เกินตัวไปหรือไม่? เพราะต้องไม่ลืมว่ากลยุทธ์การตลาดที่ดี คือกลยุทธ์ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาดผ่านมุมมองทางการเงิน ฉะนั้นในบทความนี้จะพาผู้ประกอบการมือใหม่ทุกคนมาดูข้อดีและข้อเสียของการทำ SEO และ PPC กัน เผื่อใครที่กำลังกังวลว่าธุรกิจของเราเหมาะกับกลยุทธ์การตลาดแบบไหนกันแน่ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

ข้อดีของการทำ PPC สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ

มาเริ่มจากข้อดีของการทำ PPC ก่อน มีดังนี้

ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว (หากทำอย่างถูกต้อง)

อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจคือ “ไม่มีใครรู้จักแบรนด์ของคุณ” แน่นอนว่าต้องใช้เวลาพอสมควรในการสร้างฐานลูกค้าให้เกิดขึ้น โดย KAU Media Group ซึ่งเป็นบริษัทเอเจนซีชั้นนำของโลก ได้กล่าวถึงการทำแคมเปญโฆษณาแบบ PPC เอาไว้ว่า “สิ่งที่น่าสนใจที่ประการหนึ่งเกี่ยวกับการทำ PPC คือ สามารถให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วสำหรับทุกคนที่มีงบประมาณ เพราะ PPC สามารถทำให้แบรนด์ของคุณไปปรากฏในหน้าแรกของ Google ได้ง่ายๆ ตราบใดที่คุณจ่ายเงิน” พูดง่ายๆ คือ เงินถึงเท่าไหร่ผลลัพธ์ที่ได้ก็เท่านั้น

การที่แบรนด์สามารถดันตัวเองให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่ถูกค้นหาได้ง่ายขึ้น สิ่งแรกที่แบรนด์จะได้รับนั่นก็คือ Brand Awareness ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ว่า คุณคือใคร คุณกำลังทำอะไรอยู่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมานั่งรอคอยการไต่อันดับเหมือนการทำ SEO 

ช่วยในเรื่อง Website Traffic  

ใครที่มีประสบการณ์การทำ SEO คงรู้กันดีว่ากว่าที่จะสร้าง Organic Traffic ให้เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากและใช้เวลานาน ฉะนั้นเพื่อให้การเริ่มต้นของธุรกิจไปได้สวยหากต้องการให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ในทันที ด้วยการเพิ่มยอดเข้าชมให้กับเว็บไซต์แบบ Paid Traffic ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ตอบโจทย์ให้กับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ รับประกันได้เลยว่าเห็นผลดีมากๆ 

เพราะอย่างที่กล่าวไปในข้างต้นการสร้าง Organic Traffic บนเว็บไซต์ในช่วงแรกนับว่าเป็นอะไรที่ยุ่งยากและต้องใช้เวลาพอสมควร การเลือกใช้ PPC ในช่วงต้นถึงแม้จะต้องใช้งบประมาณในระดับหนึ่งแต่ก็คุ้มค่าในระยะยาวแน่นอน

เป็นสะพานให้แบรนด์ไปแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่

ระหว่างบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดมานานกับบริษัทที่เพิ่งกำลังก่อตัวได้ไม่นาน แน่นอนว่ามีความแตกต่างที่สำคัญนั้นก็คือการถือครองทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนบุคลากร ไอเดีย และงบประมาณในการลงทุน ที่บริษัทขนาดใหญ่ย่อมมีสูงกว่าบริษัทขนาดเล็ก หากคุณเป็นบริษัทไอทีโนเนมอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตที่จะไปท้าชนแคมเปญโฆษณากับ Apple

อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งรู้สึกสิ้นหวังหรือท้อแท้ ยังพอมีทางที่สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดบางส่วนมาได้บ้าง ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณเป็นแบรนด์รองเท้าโนเนม การทำแคมเปญโฆษณาแบบ PPC จะพบว่าในตลาดอาจมีการผูกขาดคีย์เวิร์ดคำว่า “รองเท้าผู้ชาย” จากแบรนด์ขนาดใหญ่ไปแล้ว ฉะนั้นอาจลองแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนไปใช้คีย์เวิร์ดประเภทต่างๆ อย่าง Niche Keyword หรือ Longtail Keyword ที่เป็นคีย์เวิร์ดแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ระบุชัด รุ่นอะไร ราคาเท่าไหร่ พูดง่ายๆ คือ ใช้เทคนิคบางประการเท่าที่ทำได้เพื่อทำให้แคมเปญโฆษณาสามารถที่จะขึ้นไปทัดเทียมกับแคมเปญของบริษัทขนาดใหญ่ได้แบบที่ไม่มีใครคาดถึง  

ข้อเสียของการทำ PPC สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ

สำหรับข้อเสียของการทำ PPC มีดังนี้

มีค่าใช้จ่ายสูง 

อย่างที่รู้กันดีว่าการทำ PPC จำเป็นจะต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้ผลลัพธ์กลับมา ยิ่งจ่ายมากเท่าไหร่ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ด้วยตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างมหาศาลนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรหรือเงินทุนมหาศาลจะเข้ามามีบทบาทในการเป็นเจ้าตลาด อย่างเช่น การถือครองคีย์เวิร์ดที่มีราคาแพงจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นผลทำให้ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งหลายรายเกิดข้อจำกัดในการเติบโต

ฉะนั้นหากต้องการลงทุนทำแคมเปญโปรโมตแบรนด์แบบ PPC ก็ต้องมีความรอบคอบในการลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไปจนกว่าธุรกิจจะอยู่ในจุดที่สามารถตั้งหลักได้ จากนั้นจะดำเนินการแคมเปญโฆษณาต่อในรูปแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น

ข้อดีของการทำ SEO

สำหรับข้อดีของการทำ SEO มีดังนี้

ได้กลุ่มเป้าหมายที่ตรงและมีคุณภาพ

แม้การทำ PPC จะเป็นการเพิ่มจำนวน Website Traffic ได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้ามายังเว็บไซต์จะกลายเป็นฐานลูกค้า ที่เลือกใช้บริการหรือซื้อสินค้าจริงๆ (อาจจะแค่เผลอคลิกเข้ามา แล้วกดออกไปทันที) แต่กลยุทธ์การทำ SEO นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะการทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของอัลกอริทึมของกูเกิลเพื่อให้สามารถนำเว็บไซต์ไปจัดอันดับได้ ในขณะที่กูเกิลก็มีการพัฒนาอัลกอริทึมให้ตอบสนองกับผลลัพธ์ที่ผู้คนทั่วไปค้นหาอยู่ตลอดเวลา นั่นหมายความว่า ยิ่งปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงใจกูเกิลมากเท่าไหร่ ผลที่ได้ไม่เพียงแต่จะทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดี แต่ยังจะช่วยให้ผู้คนทั่วไปสามารถค้นหาเว็บไซต์ที่ต้องการได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน และจะเป็นผลให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO  ได้รับกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพที่จะเข้ามาเพิ่มยอดขาย หรือ Conversion ต่างๆ ให้กับธุรกิจของคุณนั่นเอง 

สร้างความประทับใจแรกให้ผู้ใช้งาน

นักการตลาดทุกคนรู้กันดีว่า “การสร้างความประทับใจแรก” ถือเป็นกลยุทธ์หลักอันดับหนึ่งในการซื้อใจลูกค้า การทำ SEO ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่สูงขึ้นในหน้าของ Google Search เท่านั้น แต่ยังมั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ที่มีการปรับแต่งตามหลัก SEO อย่างถูกต้องแล้ว จะช่วยสร้างความประทับใจแรกให้ผู้ใช้งานได้ และจะส่งผลให้เกิดการตลาดแบบปากต่อปากได้ในแบบที่คาดไม่ถึงแน่นอน

เติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาว

ผลลัพธ์ของการทำ SEO อาจจะใช้เวลานานกว่าหากเทียบกับการทำ PPC แต่ก็เป็นโซลูชันทางการตลาดที่มีความยั่งยืนและสามารถเติบโตในระยะยาวได้ดีกว่า เพราะอย่าลืมว่ากว่าที่จะดันอันดับเว็บไซต์ให้ไปอยู่ในจุดสูงสุดได้นั้นจำเป็นจะต้องลงทุนลงแรงไปกับการปรับแต่งเว็บไซต์ การดูแลเนื้อหาคอนเทนต์ ลิงก์ต่างๆ รวมถึงคอยตรวจสอบเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา คำถามคือแล้วเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงๆ ไม่มีโอกาสที่จะตกแล้วหรอ? คำตอบคือมีโอกาส แต่ก็ไม่ใช่ในวันสองวันหรืออาทิตย์สองอาทิตย์แน่นอน ยิ่งคุณปรับแต่งเว็บไซต์ไว้ดีและตรงใจอัลกอริทึมของกูเกิลแค่ไหนโอกาสที่เว็บไซต์จะติดอันดับสูงก็นานเท่านั้น

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการมือใหม่ทุกท่านตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในการเริ่มต้นวางกลยุทธ์การตลาด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO และ PPC สามารถอ่านได้ในบทความนี้

รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience

Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 

โทร.: 02-038-5055 

อีเมล: info@relevantaudience.com เว็บไซต์: www.relevantaudience.com

Antonio Fernandez

Antonio Fernandez

ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Relevant Audience ผู้นำด้านการตลาดดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปีในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัล เขาได้นำพาทีมงานในการสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าผ่านโซลูชันดิจิทัลที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ

Related Articles

If you enjoyed reading this article, you might like these too.

การมองเห็นในการค้นหาใหม่ของอินสตาแกรม: ข้อมูลเชิงลึกสำคัญสำหรับนักการตลาด
เรื่องทั่วไปด้านการตลาดออนไลน์

July 11, 2025

การมองเห็นในการค้นหาใหม่ของอินสตาแกรม: ข้อมูลเชิงลึกสำคัญสำหรับนักการตลาด
เรียนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของอินสตาแกรมสู่การมองเห็นในการค้นหาส่งผลกระทบต่อนักการตลาดอย่างไร และสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อรักษาความได้เปรียบด้วยกลยุทธ์เนื้อหาที่เป็นมิตรกับ SEO...
Instagram’s New Search Visibility: Key Insights for Marketers
General topics

July 11, 2025

Instagram’s New Search Visibility: Key Insights for Marketers
Learn how Instagram’s shift to search visibility impacts marketers and what you need to do to stay ahead with SEO-friendly...
เคล็ดลับ SEO สำหรับโรงแรมเพื่อเพิ่มการจอง
โฆษณา Facebook Ads

July 8, 2025

เคล็ดลับ SEO สำหรับโรงแรมเพื่อเพิ่มการจอง
เรียนรู้วิธีที่โรงแรมสามารถใช้ SEO เพื่อเพิ่มความโดดเด่น ดึงดูดลูกค้า และเพิ่มการจองโดยตรง คู่มือง่าย ๆ สำหรับการมีตัวตนที่ดียิ่งขึ้นบนโลกออนไลน์...
SEO Tips for Hotels to Get More Bookings
Facebook Ads

July 8, 2025

SEO Tips for Hotels to Get More Bookings
Learn how hotels can use SEO to increase visibility, attract guests, and boost direct bookings. Easy guide for better online...