การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จนั้นเกิดจากหลายปัจจัย เพราะการทำ SEO ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว ทำให้ใครก็ตามที่เรียนรู้การทำ SEO ไปสักระยะหนึ่งก็จะเริ่มค้นพบว่า หลักสูตรนี้ไม่ว่าจะเรียนรู้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันจบสิ้น มากไปกว่านั้นแต่ละธุรกิจก็มีกลยุทธ์การทำ SEO ที่แตกต่างกันออกไปอีก
หลายคนพยายามที่จะตามหา “ทางลัด” ฉะนั้นในบทความนี้จะนำ 7 จุดสำคัญที่เปรียบเสมือนกับกุญแจสู่ความสำเร็จในการทำ SEO รับรองว่าหากทำตามให้ครบจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO ในทุกด้านแน่นอน
1. Core Web Vitals
Core Web Vitals (CWV) คือชุดเมตริกที่เป็นปัจจัยสำคัญในการวัดผลของ UX (User Experience) หรือประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ ซึ่งเป็นปัจจัยการจัดอันดับใหม่ (Ranking Factor) ที่กูเกิลเพิ่งจะอัปเดตเข้ามาไม่นานนี้ โดยจะแบ่งเกณฑ์การประเมินออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ ความเร็วในการดาวน์โหลดคอนเทนต์ (LCP) การตอบสนองของเว็บไซต์ (FID) และความเสถียรของดีไซน์ในเว็บไซต์ (CLS)
ใครที่กำลังสงสัยว่า “แม้องค์ประกอบต่างๆ ของเว็บไซต์จะได้มาตรฐานหมดแล้ว แต่ทำไมอันดับเว็บไซต์ยังไม่ดีขึ้นอย่างที่คิด?” เบื้องต้นให้ลองกลับไปเช็กเว็บไซต์ด้วย Google Search Console และปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตาม Core Web Vitals เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้จะดีขึ้นแบบทันตาเห็นแน่นอน สำหรับใครที่อยากรู้จัก Core Web Vitals ให้ละเอียดมากขึ้นสามารถอ่านได้จากบทความนี้
2. ความเร็วของ Web Server
มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำ SEO หลายคนมักมีความคิดว่า “Web Hosting จะเช่าที่ไหนก็เหมือนกัน ดังนั้นเลยขอเน้นที่ราคาถูกๆ ไว้ก่อน” ต้องขอบอกว่าใครที่มีความคิดแบบนี้แล้วผลลัพธ์ของการทำ SEO จะวนเวียนไปมาอยู่อันดับท้ายๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า Search Engine เช่น กูเกิลชอบเว็บไซต์ที่สามารถเปิดได้ไว ยิ่งเร็วแค่ไหนยิ่งดีเท่านั้น พอเป็นอย่างนี้ก็ไม่แปลกที่กูเกิลจะให้ความสำคัญกับความเร็วของเว็บไซต์ในการนำไปประเมินและจัดอันดับเว็บไซต์ ทีนี้หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าแล้ว “Web Hosting มันไปมีผลอะไรกับความเร็วของเว็บไซต์?”
ขอบอกเลยว่า Hosting นั้นมีผลโดยตรงต่อความเร็วของเว็บไซต์ หากมี Hosting ที่ดีและรันอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง มี Network ที่สูง ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้ไวขึ้นทั้งในด้านของ Load Time และ Load Speed ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มี Web Hosting ให้เลือกด้วยกันหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Shared and Shared Premium, VPS, ไปจนถึง Cloud และแบบ Dedicated Server อย่างไรก็ตามควรเลือกโฮสติ้งที่มีความน่าเชื่อถือมีคุณภาพและมีความชำนาญ จะได้แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทันท่วงทีหากมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น
3. ความถี่ในการเผยแพร่คอนเทนต์
สำหรับคนที่เชื่อว่าการลงบทความจำนวนครั้งละมากๆ ในแต่ละวันแล้วจะส่งผลดีต่ออันดับ SEO ขอบอกตรงนี้ว่าเป็นเรื่องที่ทั้งจริงและไม่จริง เพราะการลงบทความก็ขึ้นอยู่กับเว็บไซต์ด้วย ว่าสามารถรองรับได้มากหรือน้อยแค่ไหน หากเว็บไซต์ของคุณเป็นการให้บริการหรือขายสินค้าที่สามารถเขียนเนื้อหาออกมาได้หลายมุม ก็สามารถอัปโหลดได้ในปริมาณที่มากกว่า
นอกจากนี้ ความถี่ของการเผยแพร่บทความอาจขึ้นอยู่กับความสามารถของทีมงานหลังบ้านอีกด้วย เพราะตอนนี้ยังไม่พบว่ามีข้อมูลไหนหรือกูเกิลออกมาบอกว่าต้องลงบทความปริมาณเท่าไหนต่อวันถึงจะมีผลต่อ SEO แต่ที่มั่นใจได้อย่างหนึ่งคือการลงบทความจะต้องมีปริมาณที่สม่ำเสมอไม่มีการเว้นช่วงที่นานเกินไปนั่นเอง อย่างไรก็ตามการลงบทความถี่ๆ ก็ไม่ได้หมายความจะดีเสมอไป เพราะบทความที่มีแต่น้ำและเน้นปริมาณหรือที่เรียกกันว่า “บทความสแปม”จะส่งผลเสียต่อ SEO เพราะกูเกิลนั้นยึดหลักเกณฑ์การวัดผลของบทความด้วย E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ฉะนั้นการลงบทความที่มีคุณภาพและอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะส่งผลดีต่อ SEO ในระยะยาวได้
4. จำนวนหน้าเว็บไซต์ที่ถูก Indexing
รู้ไว้เลยว่าหากพบว่ากูเกิลไม่ได้จัดทำ Indexing ในหน้าเว็บไซต์ แสดงว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของคุณ สำหรับการตรวจสอบเบื้องต้นสามารถใช้ Google Search Console ในการตรวจดู Report ต่างๆ เกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์ที่ไม่ถูกกูเกิลจัดทำ Indexing และเมื่อพบปัญหาแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้น โดยส่วนมากปัญหาเหล่านี้มักจะเกิดจาก
- เนื้อหาคอนเทนต์ในหน้าเว็บไซต์ซ้ำซ้อนกับหน้าที่เคยเผยแพร่แล้ว
- เนื้อหามีจำนวนน้อยเกินไป (ใช้ Screaming Frog ในการให้ข้อมูลการนับจำนวนคำได้)
- เนื้อหาไม่มีคุณภาพ
- องค์ประกอบโดยรวมของเว็บไซต์ไม่ดีพอ
สำหรับใครที่อยากอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดทำ Indexing หน้าเว็บไซต์โดยกูเกิล สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความนี้
5. Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำ SEO เพราะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ SEO Specialist ทั้งมือใหม่และมือเก่าสามารถเข้าใจข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับ ค่า CTR จากคีย์เวิร์ดต่างๆ รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ของกูเกิลที่ต้องนำไปทำตามหากต้องเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์
6. Image Size
สำหรับขนาดของรูปภาพนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเร็วของเว็บไซต์ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่ออันดับ SEO แม้ว่าคุณจะเลือกเว็บโฮสติ้งที่ให้บริการความเร็วเว็บไซต์ได้ดีมากแค่ไหน แต่หากเว็บไซต์มีรูปภาพขนาดใหญ่กองพะเนินเต็มไปทั่วเว็บไซต์ ก็เปรียบได้กับรถสปอร์ตที่ขนของเต็มคันและกำลังมุ่งหน้าไปสู่ทางลาดชัน
ขนาดของรูปภาพบนเว็บไซต์เป็นอะไรที่สามารถควบคุมได้ง่ายที่สุด แต่ก็เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่มือใหม่หลายคนชอบที่จะเพิกเฉยไม่สนใจ วิธีแก้ปัญหาหากพบว่าเว็บไซต์มีรูปภาพขนาดใหญ่เกินจำเป็นมากเกินไป นั่นคือการลองเปลี่ยนสกุลไฟล์ที่ใช้ให้เล็กลง หรือไม่ก็ลองบีบอัดรูปภาพให้เล็กลงด้วยเครื่องมือต่างๆ อย่างเว็บไซต์ tinyjpg.com เมื่อทำแบบนี้กับทุกภาพก็จะช่วยเรื่องความเร็วบนเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้แน่นอน
ทิปส์ง่ายๆ สำหรับรูปที่ใช้บนเว็บไซต์
- ภาพถ่ายทั่วไป – บันทึกเป็นสกุลไฟล์ JPEG
- รูปภาพแบบ Illustrative – บันทึกเป็นไฟล์ JPEG ถ้าเป็นไปได้
- หลีกเลี่ยงการซ้อนข้อความทับรูปภาพ
- หลีกเลี่ยงรูปภาพที่มีรายละเอียดมากเกินไป
- หลีกเลี่ยงภาพประกอบที่มีการไล่ระดับสี
7. Backlink
การทำ Backlink เป็นหนึ่งในเทคนิคการปรับแต่งเว็บไซต์ตามหลัก SEO เพื่อให้มีอันดับเว็บไซต์ที่ดีบนหน้า SERPs โดยหลักการคืออัลกอริทึมของ Search Engine จะส่งบอทเข้ามาเก็บข้อมูลต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์รวมถึงข้อมูล Backlink ต่างๆ ด้วย ฉะนั้นหากเว็บไซต์มี Backlink ที่มีคุณภาพ มีค่า DA (Domain Authority) ที่สูง ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงๆ มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น หากบทความของคุณมีประโยชน์มากพอที่จะทำให้เว็บไซต์อื่นที่มีค่า DA สูง นำไปแชร์ต่อ และใส่ Backlink ให้เครดิตกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ อัลกอริทึมของ Search Engine ก็จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพเช่นเดียวกัน
จริงๆ แล้วในการปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO ยังมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วยอีกมาก แต่ 7 ข้อข้างต้นนี้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ ในการเริ่มต้นปรับปรุงเว็บไซต์ SEO สำหรับมือใหม่ให้ลองจับจุดต่างๆ แล้วนำไปปรับใช้รับรองว่าถ้าทำครบแล้วผลลัพธ์ที่ได้ดีขึ้นแน่นอน
รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com เว็บไซต์: www.relevantaudience.com