เมื่อไม่นานมานี้เราได้รวบรวมคำศัพท์น่าสนใจเกี่ยวกับ Google Ranking System ที่ยังถูกใช้งานและเลิกใช้ไปแล้ว มาฝากนักการตลาดที่กำลังเริ่มต้นทำ SEO เพื่อให้รู้จักคำศัพท์เฉพาะต่างๆ ที่สำคัญต่อการมีผลของอันดับเว็บไซต์ (อ่านเพิ่มเติม รวมคำศัพท์ที่ต้องรู้ สำหรับ Google Ranking System ในปี 2022) สำหรับใครที่ได้อ่านไปบ้างแล้ว คงพอเข้าใจระบบต่างๆ ของ Google Ranking System กันมากขึ้น แต่เชื่อว่าอาจจะยังมี Ranking System บางตัวที่ยังทำให้รู้สึกสงสัยกับบทบาทหน้าที่ของมันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google Passage Ranking ที่หลายคนมักจำสับสนกับ Page Ranking ทำให้ในบางครั้งการปรับปรุงเว็บไซต์ทำได้แบบไม่ครอบคลุม ส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้
ดังนั้นในบทความนี้ Relevant Audience เลยขออาสาพานักการตลาดมือใหม่ทุกคนมาเจาะลึกกับระบบ “Passage Ranking” ของกูเกิลกันให้มากขึ้น เพื่อจะได้เตรียมตัววางกลยุทธ์การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพเหนือคู่แข่งในตลาด ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย
Google Passage Ranking คืออะไร?
“เรามุ่งหวังให้ผู้ใช้งานกูเกิล ได้รับผลลัพธ์การค้นหาที่ดีที่สุด” เป็นหนึ่งในคำโปรยยอดนิยมที่มักโผล่มาทุกครั้งในทุกรายการอัปเดตระบบ Google Ranking System แต่หารู้ไม่ว่าท่ามกลางรอยยิ้มของผู้ใช้งานยังมีคราบน้ำตาของนักการตลาดที่ต้องวุ่นกับการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นไปตามหลักอัลกอริทึมใหม่ๆ เพื่อที่จะดันอันดับเว็บไซต์ให้ดีขึ้น และหนึ่งในการอัปเดตอัลกอริทึมที่สร้างความน่าปวดหัวให้กับนักการตลาดในรอบปีที่ผ่านมาก็คงหนีไม่พ้น Google Passage Ranking หรือ บางคนเรียกว่า Passage Indexing
Cathy Edwards ซึ่งเป็น VP of Enginerring ของกูเกิล ออกมาให้คำนิยามเอาไว้ว่า “Passage Ranking เป็นอัลกอริทึมที่จะช่วยให้กูเกิลมุ่งเน้นไปที่การค้นหาข้อความเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อให้แสดงผลลัพธ์ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง” หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นอัลกอริทึมที่จะเข้ามาช่วยจัดอันดับการค้นหาในรูปแบบการใช้คำค้นหาที่เฉพาะเจาะจง โดยอิงจากทั้งย่อหน้าและข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ในบรรทัดนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น ก่อนการอัปเดตนี้เราอาจจะเคยค้นหาคำว่า “จะรู้ได้ยังไงว่าบ้านมีมดขึ้น” ผลการค้นหาที่ได้อาจจะเป็น คำอธิบายว่ามดมีกี่สายพันธุ์ หรือบอกลักษณะบ้าน เป็นต้น แต่พอกูเกิลใช้ Passage Ranking ผลลัพธ์คือ เนื้อหาที่ได้จะมีความเหมาะสมกับคำค้นหามากขึ้น เช่น อาจจะแสดงบทความรวมวิธีไล่มดจากของใช้ใกล้ตัว หรือวิธีกำจัดมดภายในห้องให้อยู่หมัด อาจสรุปได้สั้นๆ ว่า ระบบ Passage Ranking ของกูเกิลจะเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้งาน Google Search สะดวกสบายและเข้าถึงข้อมูลได้ตรงความต้องการมากขึ้นนั่นเอง
ผลกระทบต่อการปรับปรุงเว็บไซต์แบบ SEO
ถึงแม้ว่า John Muller ของ Google เคยออกมาพูดถึงระบบ Passage Ranking เอาไว้ว่า “ไม่จำเป็นต้องปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้ากับ Passage Ranking” แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Google Blog Post อธิบายเอาไว้ว่า Passage Ranking มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์ในการค้นหาสูงถึง 7% ดังนั้นหากลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ตัวเลข 7% ก็นับว่าไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยและมีผลต่อการแสดงผลในหน้า SERPs พอสมควร
ดังนั้นแล้วทางที่ดีนักการตลาดมือใหม่ควรที่ปรับหน้าเว็บให้เหมาะสมกับ Passage Ranking ที่เน้นการจัดอันดับการค้นหาเกี่ยวกับคำเฉพาะทาง เพื่อช่วยให้หน้าเว็บโดยรวมมีโอกาสถูกกูเกิลนำไปแสดงผลได้ง่ายมากขึ้น โดยสามารถปรับได้ ตามนี้
- เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับคำเฉพาะ และเน้นการทำ Long-Tail Keywords
- เนื้อหาในแต่ละย่อหน้า ควรมีความกระชับ ไม่ยาวมากแต่ต้องได้ใจความสำคัญครบถ้วน
- ใช้ Meta Tag อย่าง H1 H2 H3 ให้ถูกต้อง และรู้จักการแบ่งย่อหน้าให้เหมาะสม
ทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญของการทำ SEO คือการ “ทำให้ครบเอาไว้ก่อน” ไม่ว่าจะเป็นการทำ Off-Page และ On-Page เช่นเดียวกับการคำนึงถึง Passage Ranking ที่ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้งานทั่วไป แต่อย่างไรก็ยังสำคัญหากอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรก
Source: SEOSLY
รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com