Copywriting คือ ศิลปะการเขียนเนื้อหาให้ออกมาน่าสนใจเพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้อ่านทำในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการคลิก ซื้อสินค้า/บริการ สมัครสมาชิก หรือเกิด Conversion ซึ่งพอเป็นเรื่องของ “เว็บไซต์” แน่นอนว่าต้องมีการเขียน Copywriting เพื่อสร้างเนื้อหาบน Landing Page ต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่า การเขียน copywriting สำหรับเว็บไซต์นั้นแตกต่างจากการเขียนสำหรับช่องทางอื่นๆ อยู่พอสมควร ฉะนั้นมาดูกันว่ามีข้อแตกต่างอะไรบ้าง และเราจะเขียนให้เนื้อหาเว็บไซต์ออกมาดีได้อย่างไร
ในบทความนี้มาดูกันว่าวิธีทำ PPC Report ให้มีประสิทธิภาพควรทำอย่างไร และมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่จำเป็นต้องใช้ในการทำรายงาน
ความแตกต่างของการเขียน Copywriting สำหรับเว็บไซต์
ใครที่อยู่ในวงการ Copywriting คงทราบดีว่าการเขียนต้องมี Goal หรือเป้าหมายอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนอีเมลโฆษณา แคปชันบนสื่อโซเชียล หรือ Search Ads และโฆษณา Out-of-Home ต่างๆ แน่นอนว่าคอนเทนต์ในแต่ละช่องทางไม่สามารถใช้แทนกันได้ ซึ่งการเขียน Copy บนเว็บไซต์มีข้อแตกต่าง เช่น
- ผู้เข้าชมมีเวลาและความสนใจที่จำกัด แต่เรามีข้อมูลมากมายที่ต้องนำเสนอ เนื่องจากเว็บไซต์มักเป็น Online Presence หลักของแบรนด์
- เว็บไซต์มีองค์ประกอบที่สามารถโต้ตอบได้ เช่น ปุ่ม แถบนำทาง ซึ่งต้องอาศัยเนื้อหา Copy ในการอธิบายที่ชัดเจน
- การจัดทำเนื้อหาให้เหมาะกับการทำ SEO มีความสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อโอกาสที่ผู้คนจะค้นพบเว็บไซต์
- กลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์มีความหลากหลายมากกว่าช่องทางอื่นๆ ทั้งผู้ที่กำลังหาข้อมูล ฐานลูกค้าใหม่ และฐานลูกค้าเดิม เป็นต้น
- เป้าหมายสูงสุดของการทำ Copywriting บนเว็บไซต์ คือ การทำให้ผู้เข้าชมกลายเป็นลูกค้า
ด้วยความแตกต่างเหล่านี้ เราจึงต้องมีเทคนิคในการเขียน Copywriting บนเว็บไซต์ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
17 เทคนิคการเขียน Copywriting เว็บไซต์ให้โดนใจ
เมื่อมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ เราให้ข้อมูลที่พวกเขามองหาอย่างครบถ้วน พร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าชมอยาก “ไปต่อ” เช่น การคลิกดูสินค้า/บริการเพิ่มเติม สมัครสมาชิก หรือลงทะเบียนรับข่าวสาร มาดูกันว่าจะมีเทคนิคอะไรบ้างที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ Copywriting บนเว็บไซต์ของเรา
1. รู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณ
อันดับแรก การทำความเข้าใจว่าเรากำลังพูดคุยกับใครเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แนะนำให้ลองศึกษา Buyer Persona ของแบรนด์ หรือวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าในอุดมคติ พร้อมพิจารณาทั้งข้อมูล Demographic, Interests และ Behavior ซึ่งเมื่อเราเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ก็จะสามารถเขียนได้ตรงใจผู้เข้าชมมากขึ้น
2. สร้างแบรนด์ผ่านการเขียน
อย่าให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เกิดอาการ “งง” ว่าเรากำลังทำอะไร ขายอะไร ซึ่งมีหลายๆ ครั้งที่แบรนด์โฟกัสกับการออกแบบให้สวยงาม มีปุ่มคลิกน่าสนใจ แต่กลับไม่ได้สื่อสารผลิตภัณฑ์หรือบริการของตนออกไปอย่างชัดเจน ดังนั้น เหล่า Copywriter ควรทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์อย่างละเอียดเสียก่อน และสื่อสารออกมาให้ชัดเจนผ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์อีกทอดหนึ่ง
3. เข้าใจสิ่งที่คุณนำเสนออย่างถ่องแท้
การติดตาม Conversion เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะทุกโฆษณาย่อมต้องการให้ผู้ชมทำบางอย่างหลังจากคลิกหรือดูโฆษณา ถือเป็นตัวชี้วัดหลักของรายงาน PPC เลยก็ว่าได้
4. เน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
แทนที่จะพูดถึงแต่คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ให้เน้นว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร ซึ่งอาจจะเป็นการสอดแทรกเข้าไปในคำอธิบายของสินค้า หรือแม้แต่ประโยค Heading ก็สามารถทำได้
5. ใส่ใจกับหัวข้อและหัวเรื่อง
จากสถิติ เวลาเฉลี่ยที่ผู้เข้าชมใช้กับหน้าเว็บไซต์คือ 53 วินาที นั่นหมายความว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์ส่วนมากมักจะอ่านเนื้อหาแบบผ่านๆ ดังนั้น หัวข้อและหัวเรื่องจึงสำคัญมาก โดยควรออกแบบประโยคหรือวลีให้ชัดเจน สั้นกระชับ และน่าสนใจ
6. จำกัดปริมาณเนื้อหา
จากการวิจัยพฤติกรรมผู้ใช้งานเว็บไซต์ (Website User Behavior) พบว่า ยิ่งมีเนื้อหามาก คนก็จะยิ่งอ่านน้อยลง โดยหากมีเนื้อหาอยู่ที่ 400 – 1,200 คำ ผู้ใช้งานจะอ่านเนื้อหาเพียง 20% เท่านั้น และหากบนหน้าเว็บไซต์มีเนื้อหาเพียง 200 คำหรือน้อยกว่า พบว่า ผู้ใช้งานกลับอ่านเนื้อหากว่า 50% ฉะนั้น พยายามทำให้เนื้อหากระชับที่สุดโดยยังคงให้ข้อมูลที่สำคัญครบถ้วน พร้อมคำนึกถึง SEO ด้วย
7. เขียน CTA ที่ทรงพลัง
Call-to-Action หรือ CTA คือส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นให้ผู้อ่านทำตามที่เราต้องการ พยายามหลีกเลี่ยงคำทั่วไปอย่าง “สมัครเลย” “ลงทะเบียนวันนี้” แต่ให้ลองออกแบบวลีที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
8. ทำงานร่วมกับ UX
อย่าลืม Microcopy หรือข้อความสั้นๆ ที่ช่วยนำทางผู้ใช้ผ่านเว็บไซต์ของคุณ มันมีพลังในการให้ข้อมูล สร้างแรงบันดาลใจ และแม้แต่สร้างความประทับใจได้ เช่น ประโยคสั้นๆ ใน Search Bar หรือ ชื่อบริการสั้นๆ บนรูปต่างๆ หรือลองออกแบบเนื้อหาที่ใช้ร่วมกับ UX/UI เพื่อสร้าง Journey น่าจดจำต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์
9. ใช้คำที่แตกต่าง
ปัจจุบัน มีเว็บไซต์มากกว่า 1 พันล้านเว็บไซต์ และมี 175 เว็บไซต์เกิดขึ้นใหม่ทุกๆ นาที ดังนั้น เพื่อสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำกับคู่แข่ง ลองทดลองใช้คำพ้องหรือหาคำศัพท์ใหม่ๆ มาใช้กับเว็บไซต์ของเรา ดั่งคำพูดที่ว่า “การเขียนคืองานสร้างสรรค์”
10. ปรับแต่งสำหรับ SEO
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เมื่อมีการปรับแต่งเนื้อหาให้น่าสนใจแล้ว ก็ควรปรับปรุงเนื้อหานั้นๆ ให้เหมาะกับ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏบนหน้าผลการค้นหา (SERPs) ได้ดีขึ้น
11. ใช้ Trust Markers
Trust Markers คือ เครื่องหมายแสดงความน่าเชื่อถือ เช่น รีวิวจากลูกค้าจริง รางวัลที่แบรนด์ได้รับ ไปจนถึง Quote จากคู่ค้าทางธุรกิจ ซึ่งเราสามารถนำองค์ประกอบเหล่านี้มาแสดงบนหน้าเว็บไซต์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
12. เน้นงานใช้ตัวเลข
ตัวเลขเป็นวิธีที่รวดเร็วในการแสดงความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นตัวเลขที่ใหญ่และเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นสถิติตัวเลขสินค้าที่จัดจำหน่ายไปแล้ว จำนวนสาขาร้านค้า หรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะสร้างอิทธิพลต่อผู้อ่านแล้ว ตัวเลขยังช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ดีอีกด้วย
13. ทำ A/B Testing
ทดสอบเนื้อหาเวอร์ชันต่างๆ เพื่อดูว่ารูปแบบไหนได้ผลดีกว่ากัน โดยอาจทำทั้ง A/B Testing หรือ Split Testing ทดสอบ CTA ที่ไม่เหมือนกัน Headline คนละแบบ รวมไปถึงองค์ประกอบอย่าง UX/UI เพื่อค้นหาเวอร์ชันที่ดีที่สุด และต้องไม่ลืมที่จะปรับปรุงอยู่เสมอ
14. ให้ความสำคัญกับการแสดงผลบนสมาร์ทโฟน
แนะนำให้เขียน Copywrting โดยคำนึงถึงการแสดงผลบนหน้าจอมือถือเสมอ เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่มักเข้าชมเว็บไซต์ผ่านสมาร์ทโฟนของตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ สถิติจากต้นปี 2024 ยังคอนเฟิร์มอีกด้วยว่า 67% ของ Webiste Traffic นั้นมาจาก Mobile Devices
15. อย่าลืมแก้ไขและตรวจทาน
ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ สามารถส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ โดยการศึกษา Tidio ระบุว่า 97% ของกลุ่มสำรวจกล่าวว่า การเขียนผิดไวยกรณ์ส่งผลให้ตนเองมองว่าแบรนด์ขาดความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือ ดังนั้นอย่าลืมตรวจทานอย่างละเอียดก่อนเผยแพร่เนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นการสะกด การเลือกใช้คำ หรือข้อคำนึงอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อประสบการณ์การอ่าน
สรุป การเขียน copywriting สำหรับเว็บไซต์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างการเขียนสำหรับเว็บไซต์กับช่องทางอื่นๆ และการนำเทคนิคต่างๆ ที่เราได้พูดถึงไปใช้ จะช่วยให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ โน้มน้าวใจ และสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ ทั้งนี้ อย่าลืมว่าการเขียนที่ดีต้องอาศัยการฝึกฝนและการปรับปรุงอยู่เสมอ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ และสังเกตผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เกี่ยวกับ Relevant Audience
พวกเรา Relevant Audience คือ Digital Performance Marketing Agency ที่เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO และเป็นหนึ่งใน Digital Agency ที่มีบริการด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจร เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในเวลา สถานที่ และบนอุปกรณ์ที่เหมาะสม (Right Time, Right Place, Right Device)
บริการของเราครอบคลุมทั้งบริการทำ SEO, Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads ไปจนถึง Influencer Marketing และเรายังเป็น SEO Company ที่เป็น Google Partners อีกด้วย โดยทีมของเราล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้คำปรึกษาและค้นหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาทำการตลาดออนไลน์
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com