เชื่อหรือไม่ว่าทุกวินาทีบนโลกมีการค้นหามากกว่า 60,000 รายการบน Google นั่นหมายความว่า ในทุกๆ 1 วินาที จะมีคนประมาณ 60,000 คนทั่วโลกที่ตั้งคำถามและกำลังมองหาคำตอบอยู่ คำถามคือเว็บไซต์ของเราจะเป็นคำตอบให้กับคนที่กำลังตั้งคำถามอยู่ได้หรือไม่? เชื่อว่านักการตลาดทุกท่านรู้กันดีว่าระบบการจัดอันดับเว็บไซต์ของกูเกิลนั้นใช้อัลกอริทึมที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผลลัพธ์การค้นหาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน ซึ่งอัลกอริทึมนี้จะมีการพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของเนื้อหา คำค้นหา ประสบการณ์การใช้งานของผู้ที่เข้ามายังเว็บไซต์ และโครงสร้างเว็บไซต์ เป็นต้น ในบทความนี้จะมาเปิดเผยเทคนิคที่จะช่วยเพิ่ม Organic Traffic บนเว็บไซต์แบบสองเท่า สามเท่า หรือแม้แต่ 10 เท่า มาดูไปพร้อมกันเลย
1. Mobile – SEO
50.18 ล้านคน คือจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์มือถือในประเทศไทย นั่นหมายความว่าโทรศัพท์มือถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการดึงดูดลูกค้าหรือช่วยปิดยอดการขายสินค้าหรือบริการในอนาคตได้มากขึ้น ถ้าเว็บไซต์ยังไม่รองรับการแสดงผลบนสมาร์ทโฟน ก็เปรียบเสมือนกับการเปิดประตูหน้าร้านต้อนรับลูกค้าเพียงแค่ครึ่งเดียวและจะเป็นการปิดโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่มขนาดใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย
ในปี 2015 ผู้เชี่ยวชาญ SEO ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงการที่อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อปัจจัยการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Search Engine เนื่องจากกูเกิลได้เปิดตัว “Mobilegeddon” ซึ่งเป็นอัปเดตที่เริ่มนำประสบการณ์การใช้งานบนมือถือมากำหนดอันดับของเว็บไซต์ ทำให้เกิดคำจำกัดความที่ผู้เชี่ยวชาญ SEO ทั่วโลกเรียกสิ่งนี้ว่า “Mobile-Friendly” กลายเป็นว่านับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ Mobile Friendly กลายเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่ใครก็ตามที่ต้องการ Website Traffic จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานบนอุปกรณ์มือถือจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด ข้อแนะนำง่ายๆคือหากเว็บไซต์ยังไม่ได้เริ่มต้นปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งานผ่านอุปกรณ์มือถือ ให้ลองล็อกอินเข้าไปที่ Google Search Console เพื่อดูรายงานปัญหา Mobile Usability Report ของเว็บไซต์จากนั้นให้เริ่มพิจารณาสิ่งที่ต้องทำไปทีละอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าเว็บไซต์จะสามารถสร้างประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดให้กับผู้ใช้งานเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์มือถือได้
2. ใช้ Google Business Profile
Google Business Profile จะช่วยให้แบรนด์ไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่สามารถสร้างข้อมูลธุรกิจลงไปบนฐานข้อมูลของ Google ได้ โดยเฉพาะเจ้าของกิจการที่มีหน้าร้านและมีการเปิด-ปิดเป็นเวลา โดยจะเป็นการผสมผสานระหว่างพลังของการ Search และ Social เข้าด้วยกันอย่างน่าสนใจ สำหรับประโยชน์ที่ผู้ใช้งานจะได้รับแน่ๆ หากใช้ Google Business Profile มี 5 อย่าง ดังนี้
- ใช้งานได้ฟรี! จะมีอะไรดีไปกว่าการที่คุณสามารถโปรโมตธุรกิจได้แบบฟรีๆ
- ข้อมูลธุรกิจใน Business Profile จะถูกนำไปแสดงผลผ่านเครือข่ายต่างๆ ของกูเกิล เช่น Google Maps เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาหน้าร้านได้ง่ายมากขึ้น
- โปรไฟล์ธุรกิจบน Business Profile จะช่วยสร้างความประทับใจแรกให้กับลูกค้าได้ และช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ
- บทรีวิว หรือคะแนนดาว จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยกระตุ้นลูกค้าให้เกิดความสนใจได้มากขึ้น
- กูเกิลอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ของโปรไฟล์ธุรกิจได้ทันที เพื่อให้สามารถตรวจสอบหรือปรับแต่ง
มีคำที่กล่าวว่า “ธุรกิจที่มีฐานข้อมูลบน Business Profile ก็เหมือนกับนำหน้าธุรกิจที่ไม่มีไปแล้วก้าวหนึ่ง” คำกล่าวนี้ฟังดูเป็นเรื่องจริง เพราะอย่าลืมว่า Google เป็น Search Engine อันดับหนึ่งที่คนทั่วโลกเลือกใช้ ฉะนั้นเมื่อมีเครื่องมือโฆษณามาให้ใช้ฟรีแบบนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะลังเลแต่อย่างใด
3. ปรับปรุง Page Experience
เมื่อปี 2020 กูเกิลได้ประกาศการมาถึงปัจจัยสำคัญตัวใหม่ที่จะมีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์โดยตรง นั่นคือ Page Experience โดยมีมาตรวัดจากเครื่องมือที่เรียกว่า Core Web Vital (อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ Signal ใหม่ได้ในบทความนี้) โดยจะเป็นชุดมาตรวัดที่จะโฟกัสในเรื่องต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- Lagest Contentful Paint (LCP) เป็นการเช็กความเร็วเว็บไซต์ โดยจะเช็กจากคอนเทนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนเว็บไซต์
- First Input Delay (FID) เป็นการเช็กความเร็วเว็บไซต์ โดยตรวจจับจาก Action ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ผู้ใช้งานกระทำต่อเว็บไซต์ ว่ามีการตอบสนองต่อผู้ใช้งานมากน้อยแค่ไหน
- Cumulative Layout Shift (CLS) เป็นการเช็กว่าเว็บไซต์ มีการทำงานที่ราบรื่นดีไหม มีลูกเล่นหรือการเคลื่อนไหวบนเว็บไซต์เยอะแค่ไหน ถ้าเยอะแล้ว มันลื่นไหลดีหรือเปล่า
โดยผู้ใช้งานที่ต้องการเช็กประสิทธิภาพของเว็บไซต์ว่ามี Page Experience ที่ดีแล้วหรือยังก็สามารถเข้าไปเช็กได้ที่ Google Search Console หรือ PageSpeed Insights ก็ได้เช่นกัน
4. อย่าลืมการทำ Keyword Research
ในปี 2022 การทำ Keyword Research ก็ยังคงเป็น First-Priority แรกเสมอหากต้องการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า Google ได้ปล่อยอัลกอริทึมตัวใหม่ออกมาสักพักแล้ว โดยมีชื่อเรียกว่า BERT (Bidirectional Encoder Representations) เพื่อช่วยให้กูเกิลเข้าใจและสามารถแสดงผลการค้นหาที่ตรงกับ Keywords นั้นๆ มากที่สุด พูดง่ายๆ คือกูเกิลจะเข้าใจบริบทเนื้อหาของผู้ค้นได้มากขึ้น ฉะนั้นการปรับกลยุทธ์ SEO ให้ตอบรับกับอัลกอริทึมนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ
5. อย่าลืมวางกลยุทธ์ Content Marketing
จากรายงานการวิจัยของ Content Marketing Institute พบว่า 51% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดรายงานตรงกันว่าการดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วไปในปัจจุบันด้วยเนื้อหาของคอนเทนต์ยากกว่าเมื่อปีก่อนๆ มากขึ้น เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหูผ่านตากับบทความประเภทที่ให้คำแนะนำว่าควรสร้าง “เนื้อหาที่ยอดเยี่ยม” แต่ก็ยังไม่เข้าใจคอนเซปต์ต่างๆ อยู่ดีว่าจะต้องทำอย่างไร
“มีประโยชน์ × สนุก × สร้างแรงบันดาลใจ = เนื้อหาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ”
Ann Handley ผู้เชี่ยวชาญด้าน Content Marketing ได้สร้างสูตรสำเร็จนี้เพื่อให้นักการตลาดมือใหม่ได้นำไปใช้งานกัน นอกจากนี้คอนเทนต์ที่ดียังสามารถอยู่ได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น
- บล็อก
- รูปภาพ
- อินโฟกราฟิก
- SlideShare
- วิดีโอคอนเทนต์
สำหรับใครที่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กแต่ยังไม่มีแผนในการวางกลยุทธ์ Content Marketing สามารถเข้ามาอ่านบทความนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจได้
6. ให้ความสำคัญกับการทำ On-Page SEO
การทำ On-Page SEO นับเป็นปัจจัยสำคัญของการทำ SEO ในปัจจุบันนี้ โดยมีความเกี่ยวข้องหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
- Page Titles
- Headers
- Meta Descriptions
- Image Alt-Text
- Structured Markup
- Page URLs
- Link Building
จะเห็นได้ว่าการทำ On-Page SEO ครอบคลุมการปรับแต่งตั้งแต่โครงสร้างเว็บไซต์ไปจนถึงองค์ประกอบต่างๆ ของเนื้อหาคอนเทนต์ พูดง่ายๆ คือเป็นการปรับแต่ง ”ปัจจัยภายใน” เพื่อนำเสนอผู้ใช้งานทั่วไปให้สามารถเข้าใจว่าหน้าเว็บไซต์นี้เกี่ยวข้องหรือให้ประโยชน์อะไรบ้าง
7. Link Building
หนึ่งในกลยุทธ์ที่นิยมอยู่ควบคู่กับการทำ SEO มาอย่างยาวนาน นั่นคือการทำ Link Building เพราะนอกเหนือจากการปรับแต่งเนื้อหาคอนเทนต์บนเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั่วไปที่ต้องการค้นหาข้อมูลแล้ว การเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ในเว็บไซต์ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ
- Internal Link
- Backlink
- Outbound Link
สรุปเลยก็คือหากต้องการสร้าง Website Traffic การสร้าง Link Building ให้ดีบนเว็บไซต์ถือเป็นตัวช่วยสำคัญ เพราะจะทำให้อัลกอริทึมของกูเกิลและผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ได้มากขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์หรือบทความเก่าๆ และยังเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานอยู่ในเว็บไซต์ได้นานขึ้น
รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com เว็บไซต์: www.relevantaudience.com