ใครที่กำลังเริ่มต้นทำเว็บไซต์ E-Commerce คงคุ้นเคยกับหน้า Landing Page หรือบางคนนิยมเรียกว่าหน้า Sales Page โดยหน้า Landing Page นี้มีเป้าหมายที่จะช่วยสร้าง Lead เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าหรือบริการ พูดง่ายๆ หากคุณเปิดร้านขายของ Landgind Page ก็เปรียบเสมือนกับหน้าร้านที่ต้องช่วยสร้างแรงดึงดูดลูกค้าที่เดินผ่านไปมาให้รู้สึกสนใจ
ดังนั้นถ้าหน้า Landing Page ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันให้มีความสวยงาม น่าเชื่อถือ และมีความดึงดูดที่มากพอก็จะช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าหรือบริการของเว็บไซต์ E-Commerce ได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่หนึ่งในปัญหาหลักของการสร้างหน้า Landing Page คือผู้ออกแบบจะต้องมีความรู้และเข้าใจในองค์ประกอบต่างๆ พอสมควร ฉะนั้นในบทความนี้จะมาแนะนำเครื่องมือสร้างหน้า Landing Page แบบสำเร็จรูปที่ถูกออกแบบมาให้กับมือใหม่โดยเฉพาะ ในปี 2022 นี้ ใครที่กำลังมองหาวิธีสร้างหน้า Landing Page อยู่ต้องห้ามพลาด ถ้าพร้อมแล้ว มาดูกันเลย
1. Unbounce
นักการตลาดที่มีประสบการณ์ในการสร้างเว็บไซต์ E-Commerce คงรู้ประสิทธิภาพของ Unbounce กันดีอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่เพิ่งได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก ขอบอกเลยว่านี่เป็นเครื่องมือที่เหมาะที่สุดในการสร้างหน้า Landing Page ด้วยฟีเจอร์หลายอย่างที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอัตรา Conversion Rate โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีเทมเพลตให้เลือกใช้มากกว่า 100 แบบ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีสกิลด้าน Coding แต่อย่างใด ฟีเจอร์พื้นฐานอย่างเรื่อง Custom Functionality ที่สามารถวางข้อความ รูป ได้ที่ไหนก็ได้ตามความต้องการ หรือฟีเจอร์อย่าง Sticky Bars, Pop Ups ที่สามารถเลือกใช้และปรับแต่งได้ตามความเหมาะสม รวมไปถึงฟีเจอร์ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพต่างๆ อย่าง Auto Image Optimizer, Speed Boost โดยทั้งหมดนี้เป็นฟีเจอร์พื้นฐานที่ให้ใช้งานในเวอร์ชันฟรี
แต่สำหรับใครที่วางแผนอยากใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ Unbounce ก็มีแผนชำระเงินมาให้เลือกใช้โดยจะมีฟีเจอร์เพิ่มเติมอย่าง Smart Traffic, A/B Test, Dynamic Text Replacement (DTR) โดยเฉพาะฟีเจอร์ Smart Traffic ที่เป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Unbounce ที่จะช่วยเพิ่ม Conversion ด้วยการใช้ AI ในการ Redirect หน้า Landing Page ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ให้กับลูกค้า ไม่เพียงเท่านี้ เพราะยังมีฟีเจอร์ DTR จะช่วยให้หน้า Landing Page สามารถปรับ Keyword ตามการค้นหาของลูกค้าโดยอัตโนมัติ พูดง่ายๆ ว่าไม่จำเป็นต้องสร้างหน้า Landing Page หลายๆ หน้าอีกต่อไป
ข้อดี
- ใช้งานง่ายมีฟังก์ชันที่รองรับการปรับแต่งได้ตามความต้องการ
- มีเทมเพลตให้เลือกใช้มากกว่า 100 รูปแบบพร้อมกับการทำงานโดยเทคโนโลยี AI
- มีฟีเจอร์ Dynamic Text ที่เหมาะสำหรับแคมเปญแบบ SEM
ข้อเสีย
- หากอยากใช้ฟีเจอร์เด่นๆ อย่าง Smart Traffic หรือ DTR จำเป็นจะต้องอัปเกรดแบบเสียเงิน
- ด้วยฟีเจอร์ที่มีมากหากเทียบกับเครื่องมือตัวอื่นๆ ในท้องตลาดอาจรู้สึกได้ว่าใช้งานยากกว่า
2. Clickfunnels
สำหรับนักการตลาดที่มีกลยุทธ์การขายแบบ Upselling, Cross-Selling และ Down-Selling การใช้ Clickfunnels จะตอบโจทย์เรื่องนี้ในการสร้างหน้า Landging Page ได้ดีที่สุด เพราะ Clickfunnels ถูกออกแบบให้มุ่งเน้นไปที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม หรือการออกแบบแต่อย่างใด แต่ก็สามารถสร้างหน้า Landing Page ได้ถูกต้องตามหลัก Sales Funnel ที่ดี
ด้วยความที่ใช้งานง่ายเพียงแค่เลือกรูปแบบของ Sales Funnel ที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นการสร้างผู้สนใจ การขายสินค้าบนเว็บไซต์ หรือการสร้างระบบสมาชิก จากนั้นเพียงแค่เลือกดีไซน์จากเทมเพลตสำเร็จรูปเพียงเท่านี้หน้า Landing Page ก็พร้อมทำงานเป็นพนักงานขายให้กับเว็บไซต์ E-Commerce แล้ว
ข้อดี
- ถูกออกแบบด้วยแนวคิดสำหรับการสร้าง ดูแล และปิดยอดการขาย
- มีพรีเซ็ต Sales Funnel ที่ถูกออกแบบไว้หลายรูปแบบให้เลือกใช้
ข้อเสีย
- เมื่อเทียบกับเครื่องมือตัวอื่นในตลาด จะพบว่า Clickfunnels มีฟีเจอร์ในการปรับแต่งหน้า Landing Page ที่ค่อนข้างน้อย เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการสร้างหน้าเว็บไซต์โดยรวมแบบสำเร็จรูปมากกว่า
- สำหรับการสร้าง Sales Funnel แบบไม่จำกัดจะต้องชำระเงินแบบรายเดือน
3. Elementor
ใครที่สร้างเว็บไซต์บนผ่าน WordPress น่าจะรู้จักปลั๊กอินยอดนิยมอย่าง Elementor มาบ้าง ซึ่งบอกว่า Elementor เป็นปลั๊กอินยอดฮิตที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 ล้านคน ด้วยฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับมือใหม่ที่มีมาให้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเทมเพลตที่มีให้ใช้งานมากถึง 300 รูปแบบ และสามารถใช้ฟีเจอร์ Drag & Drop Editor ที่สามารถออกแบบดีไซน์ได้สะดวกสบาย รวมไปถึงฟีเจอร์อย่าง การสร้าง Popup เพื่อโฆษณา (Popup Builder) หรือ สร้าง Form เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้า (Form Builder) ก็มีมาให้ใช้งานเช่นกัน
ข้อดี
- มีราคาที่ถูกหากเทียบกับเครื่องมือยอดฮิตที่มีฟีเจอร์พื้นฐานคล้ายกันอย่าง Unbounce และ Instapage
ข้อเสีย
- แน่นอนว่าใช้งานได้เฉพาะบน WordPress เท่านั้น
- เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น แต่หากใครที่อยากได้ฟีเจอร์ที่มากกว่านี้อาจจะต้องลองมองเครื่องมือตัวอื่น
4. Instapage
สำหรับ Instapage เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับนำมาใช้สร้าง Landing Page ด้วยเทมเพลตที่มีให้เลือกใช้มากกว่า 500 แบบที่สามารถปรับแต่งได้อิสระโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการออกแบบหรือการเขียนโปรแกรมแต่อย่างใด และมีฟีเจอร์ Instablocks ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถบันทึกบล็อกหน้าที่ปรับแต่งไว้เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในหน้าอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปสร้างใหม่ทั้งหมดได้ นอกจากนี้สำหรับฟีเจอร์ที่ถูกปรับแต่งประสิทธิภาพหน้าเว็บไซต์พื้นฐานก็มีเหมือนกับ Unbounce ทุกประการ พูดง่ายๆ ว่าเป็นเครื่องมือที่มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับ Unbounce อยู่เป็นประจำเพราะด้วยฟีเจอร์ที่มีความสามารถที่ดูสมน้ำสมเนื้อกัน
ข้อดี
- ด้วยฟีเจอร์ Instablocks ช่วยให้ร่นระยะเวลาในการทำงานได้ดีมากขึ้น
- มีฟีเจอร์ Heatmap และ A/B Testing ที่จะช่วยทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานของหน้า Landing Page
- ไม่มีการชาร์จค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่มี Conversions หรือ Visitors เกินกำหนด
ข้อเสีย
- ฟีเจอร์สำหรับการรายงานข้อมูลมีจำกัด
5. Kickofflabs
สำหรับเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีการสร้างโปรโมชันแคมเปญอยู่บ่อยครั้ง การใช้ Kickofflabs เป็นเครื่องมือในการสร้างหน้า Landing Page นับว่าเป็นการตอบโจทย์การใช้งานเป็นอย่างดี เนื่องจาก Kickofflabs เป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยส่งเสริมการขายบนหน้า Landing Page โดยผู้ใช้งานสามารถเพิ่มอัตรา Conversion ได้อย่างมหาศาลด้วยการใช้โปรโมชันแคมเปญ อย่างการใช้ฟีเจอร์ โปรโมตสินค้าใหม่เพื่อให้ผู้คนลงชื่อ (Pre-Launch Waitlist), แจกของรางวัลตามลีดเดอร์บอร์ด (Leaderboard Giveaways) และอีกมากมาย
ข้อดี
- สามารถใช้ฟีเจอร์ร่วมกับการส่ง SMS ได้เพื่อขยายการเข้าถึงลูกค้าแบบออฟไลน์ในการแจกของรางวัล
ข้อเสีย
- ไม่มีแผนการใช้งานแบบฟรี นั่นหมายความว่าหากจะใช้งาน Kickofflabs จำเป็นจะต้องเสียเงินเท่านั้น
- ตัวเลือกเทมเพลตให้ใช้งานมีน้อยหากเทียบกับเครื่องมือตัวอื่นในตลาด
- การปรับแต่งค่อนข้างจำกัด
ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดสำหรับการเลือกใช้ Landing Page Builder เพราะในการเริ่มต้นคุณควรที่จะตั้งคำถามกับเว็บไซต์ตัวเองก่อนว่าเป้าหมายหลักคืออะไร เพราะเครื่องมือแต่ละอันก็มีทั้งข้อดีและข้อด้อยรวมไปถึงฟีเจอร์ในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ลองชั่งน้ำหนักด้วยการพิจารณางบประมาณที่มีและเป้าหมายที่ตั้งไว้เพื่อให้ได้แพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับความต้องการมากที่สุด รับรองว่ายอดขายสินค้าหรือบริการพุ่งทะยานตามเป้าแน่นอน
รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com เว็บไซต์: www.relevantaudience.com