ในปัจจุบันไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นวิดีโอคอนเทนต์ในทุกๆ แพลตฟอร์ม และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเทรนด์ของวิดีโอคอนเทนต์น่าจะยังอยู่กับเราไปอีกนาน หรือพูดง่ายๆ ว่าอย่างน้อยๆ ก็ตลอดปี 2023 นี้แน่นอน ทำให้แบรนด์ขนาดเล็กและนักการตลาดมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้นสร้างสรรค์คอนเทนต์ประเภทนี้จำเป็นต้องมีเครื่องมือตัดต่อวิดีโอ แต่ซอฟต์แวร์ดีๆ บางครั้งก็ราคาแพง ครั้นจะซื้อมาใช้เลยก็ยังลังเลไม่แน่ใจว่าจะคุ้มค่ากับงานหรือไม่
ดังนั้นในบทความนี้จะขอพานักการตลาดมือใหม่ทุกคนมาดู 4 เว็บตัดต่อวิดีโอออนไลน์แบบฟรี ที่สามารถตัดต่อวิดีโอได้โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม สามารถตัดงานพื้นฐานได้แบบสบายๆ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย
1. Canva
นาทีนี้น่าจะหายากมากที่จะมีคนไม่รู้จัก Canva เว็บไซต์ที่ช่วยให้งานออกแบบเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าการเดินหาซื้อน้ำใน 7-11 แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า Canva ไม่เพียงแค่เด่นแต่เรื่องงาน Visual แบบภาพนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยในการตัดต่อวิดีโอออนไลน์ได้อีกด้วย โดยจุดเด่นของ Canva หลายคนคงรู้กันอยู่แล้วคือ หน้าตาเครื่องมือต่างๆ นั้น Easy-to-use ต่อให้ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนก็สามารถเรียนรู้ได้ไม่ยาก และยังสามารถใช้ฟีเจอร์สำหรับงานกลุ่ม ตัดต่อร่วมกันกับคนอื่นก็สามารถทำได้อีกด้วย
ข้อดี
- ใช้งานง่าย Easy-to-use
- ใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้
- สามารถทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์
- ภาพ วิดีโอ เทมเพลต และ Element มากกว่า 100 ล้านรายการ
- มี Brand Kit, Content Planner และ Extra Folder ง่ายต่อการจัดเก็บ
- พื้นที่เก็บข้อมูล 1TB
ข้อเสีย
- ภาพ Stock Photo มีจำกัดหากเป็นเวอร์ชันฟรี
2. Jitter.video
Jitter เป็นเว็บไซต์ที่เหมาะสำหรับการสร้างงาน Motion Design ได้แบบฟรีๆ ได้ความคมชัดระดับ HD ที่สามารถ Export นำไปใช้งานแบบเป็นวิดีโอคลิป หรือสกุลไฟล์ GIF ก็ได้ แต่ถ้าหากต้องการความคมชัดที่มากขึ้นในระดับ Full HD จะต้องใช้เวอร์ชันแบบเสียเงิน
ข้อดี
- มี Preset ให้สำหรับเลือกใช้แอนิเมชันที่ต้องการ
- มีเครื่องมือดีไซน์สำหรับการทำ Motion แบบวิดีโอและไฟล์ GIF
- ใช้งานง่าย
ข้อเสีย
- เวอร์ชันฟรี ได้ความคมชัด HD 720p
- เวอร์ชันฟรี จะติดลายน้ำเวลา Export
3. WeVideo
จุดเด่นของ WeVideo คือหน้าตา Interface ที่ดูคลีนสะอาดตาและใช้งานง่ายไม่ต้องจาก Canva เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการตัดวิดีโอง่ายๆ แต่ยังคงคุณภาพ สามารถทำวิดีโอได้ทั้ง YouTube, Facebook, TikTok และ Instagram หรือจะเป็นวิดีโอแบบ Video Ads หรือ Meme ก็ได้ทั้งนั้น
ข้อดี
- ใช้งานง่าย
- มีเทมเพลตฟรีให้เลือกใช้งานเยอะพอสมควร
ข้อเสีย
- เวอร์ชันฟรีตัดต่อวิดีโอได้ไม่เกิน 5 นาทีต่อเดือน
- เวอร์ชันฟรี Export วิดีโอได้ความคมชัด 480p
4. Clipchamp
Clipchamp เป็นซอฟต์แวร์ที่อยู่ภายใต้ Microsoft ทำให้ผู้ใช้งาน Windows 10/11 สามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้แบบฟรีๆ โดยสามารถใช้งานได้ตามจุดประสงค์ต่างๆ ไม่ว่าจะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์ เกมเมอร์ ดนตรี พ็อดคาสท์ วล็อกเกอร์ โดยในแต่ละหมวดหมู่ก็จะมีฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น โดยข้อดีของ Clipchamp คือมีสต็อกวิดีโอ รูปภาพ ตัวอักษร กราฟิกอื่นๆ ให้เลือกใช้ประกอบคลิปได้แบบสะดวกสบาย มี Transition ให้เลือกใช้อีกด้วย
ข้อดี
- สามารถถ่ายและตัดต่อได้ทันที
- มี Brand Kit ให้เลือกใช้ คล้ายกับ Canva
- มีสต็อกรูปภาพ ตัวอักษร เอฟเฟก ฟิลเตอร์ ให้เลือกใช้
- สร้างโฟลเดอร์เก็บข้อมูลได้สะดวกสบาย
- Export ไฟล์คุณภาพสูงสุด 1080p
ข้อเสีย
- Stock โฟโต้ต่างๆ น้อยไปหน่อยในเวอร์ชันฟรี
- หากเป็นมือใหม่ที่ไม่เคยตัดต่อมาก่อนเลยอาจจะรู้สึกว่าใช้งานค่อนข้างยาก
ทิ้งท้าย
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเว็บไซต์ตัดต่อวิดีโอ ที่เราได้หยิบยกมาแนะนำกัน ขอบอกเลยว่าทั้ง 5 เว็บไซต์นี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้งานวิดีโอออกมามีคุณภาพ และใช้งานง่ายเหมาะสำหรับมือใหม่นักตัดทุกคน ใครที่ชื่นชอบแบบไหนก็สามารถลองไปใช้งานกันดูได้เลย
รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com