Google มักจะช่วยให้เราใช้งบด้านการโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเสมอ หลังจากการใช้งานมานานหลายปี Google เห็นว่าการแสดงผลโฆษณาแบบ Accelerate นั้นไม่มีประสิทธิภาพ และตัดสินใจยกเลิกการใช้งานหลังจากวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา การแสดงผลสำหรับการโฆษณาแบบคำค้นหาและแคมเปญเพื่อการซื้อขายสินค้าจะมีเพียงการแสดงผลแบบ Standard เท่านั้น แต่สำหรับโฆษณาประเภท Display และ วิดีโอ จะยังคงมีให้เลือกใช้งานทั้ง 2 แบบตามปกติ
อะไรคือการแสดงผลโฆษณา (Ad Delivery)
Ad Delivery หรือรูปแบบการแสดงผลนั้น เป็นการกำหนดรูปแบบ ลักษณะที่โฆษณาของคุณจะถูกแสดงออกไปเมื่อมีการค้นหาเกิดขึ้นบน Google โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ แบบ Standard และแบบ Accelerate โดยแบบแรกนั้นการแสดงผลโฆษณาของคุณจะถูกกำหนดโดยงบประมาณและความเหมาะสมของการค้นหาโดย Google หากงบประมาณของคุณไม่จำกัด ระบบจะทำการแสดงผลโฆษณาของคุณบ่อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่หากคุณมีงบประมาณที่จำกัดต่อวัน Google จะคำนวณและทำการเฉลี่ย กระจายการแสดงผลให้คงอยู่ตลอดทั้งวัน ให้เพียงพอกับงบประมาณของคุณ ในทางตรงข้าม แบบ Accelerate นั้น โฆษณาของคุณจะถูกแสดงทุกครั้งที่มีการค้นหาด้วยคำที่คุณระบุ หรือคำที่ใกล้เคียง ซึ่งข้อเสียก็คือ คุณอาจจะใช้งบประมาณต่อวันหมดก่อนที่จะหมดวันเสียอีก ซึ่งอาจจะส่งผลต่อจำนวนของผู้ที่สนใจซื้อสินค้าหรือ Conversion ได้
ที่ผ่านมา วิธีการแสดงผลของ Google ads นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกอธิบายและพูดถึงกันมากที่สุดหัวข้อหนึ่งสำหรับบริษัทที่ทำงานด้านการตลาดดิจิทัลเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าที่ Relevant Audience ก็ด้วยเช่นกัน คงมีเอเจนซี่หลายรายที่ต้องรับโทรศัพท์พร้อมคำถามที่ว่า ทำไมถึงไม่เห็นโฆษณาของตนขึ้นเลย
และเราก็ต้องอธิบายเป็นรอบที่พันว่า “รูปแบบการแสดงโฆษณาของคุณลูกค้าถูกตั้งที่แบบ Standard ซึ่งนั่นหมายความว่ามีงบประมาณจำกัด ดังนั้น Google จะกำหนดเองว่าเมื่อไรที่ควรจะแสดงผลโฆษณาออกมา เพื่อให้มั่นใจว่างบประมาณจะเพียงพอในตลอดทั้งวัน กรุณาใช้เครื่องมือ Google Ad Preview เพื่อดูโฆษณาของคุณ และหยุดการค้นหาด้วยคำต่างๆ เพราะจะกระทบต่อ CTR ที่ส่งผลต่อไปยัง Quality score หรือคะแนนคุณภาพของโฆษณา และส่งผลสุดท้ายไปยังลูกค้า ซึ่งหมายความว่าจะสูญเสียโอกาสในการขายไปในที่สุด” การสูญเสียรายได้ คำนี้เป็นเหมือนคำศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจทันที และยอมให้เราเข้ามาดูแลการทำงานเหมือนเดิม ถึงอย่างไรก็ตาม เหล่าเจ้าของธุรกิจหรือผู้จัดการฝ่ายการตลาดทั้งหลายต่างก็อยากเห็นโฆษณาของพวกเขาขึ้นอยู่ตลอดเวลาและมักมีคำถามที่ว่า ต้องมีงบประมาณเท่าไรจึงจะสามารถทำแบบนั้นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วส่วนใหญ่ก็ไม่เพิ่มงบลงทุนให้ แต่ถึงเพิ่มให้ก็จะมาพร้อมกับคำถามใหม่ๆ น่าปวดหัวมากมายในช่วงสิ้นเดือน เช่น “เพิ่มจำนวนเงินลงไป 1 เท่า แต่จำนวน Conversion rate ยังเท่าเดิม ทำไมกัน” และอื่นๆ อีกมากมาย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกับลูกค้าว่า การเพิ่มจำนวนเงินลงทุนนั้นไม่ได้หมายถึงการที่ค่าต่างๆ จะเพิ่มขึ้นทันที ไม่ว่าจะเป็น การซื้อขาย คำสอบถาม และยังหมายถึงงานที่เพิ่มขึ้นด้วยสำหรับผู้ที่ลงโฆษณาใหม่ๆ
ในฐานะเอเจนซี่ด้านการตลาด การยกงานทั้งหมดให้ Google AI ทำนั้นเป็นเรื่องที่จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็ให้ไปถามเอาที่ Google แต่ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าระบบของ Google ไม่ยอมแสดงผลการโฆษณาของเราเมื่องบประมาณมีไม่จำกัด จะทำอย่างไรให้แน่ใจว่าโฆษณาของเราจะถูกเห็นตลอดทั้งวัน โฆษณาของเราจะถูกแสดงในช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า
และแล้วนักการตลาดตัวจริงก็ต้องสูญเสียเครื่องมือเพื่อการใช้งานไปอีกหนึ่ง มันอาจเป็นเรื่องดีสำหรับเหล่า SME ที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องการทำโฆษณาบน Google เท่าไรนัก แต่สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญอยู่แล้วอย่างบริษัททางการตลาด ซึ่งเป็นช่องทางรายได้ขนาดใหญ่สำหรับ Google แล้ว เราจะทำงานได้อย่างไรเมื่อเครื่องมือในการจัดการค่อยๆ หายไปทีละตัว
สำหรับแคมเปญที่ใช้งานรูปแบบ Accelerate อยู่ จะถูกปรับเป็นแบบ Standard โดยอัตโนมัติ หลังจากวันที่ 1 ตุลาคมนี้ โชคดีก็คือ เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเรามากนัก เพราะตอนนี้ Google สามารถใช้งบประมาณของเราในการลงโฆษณาได้มากกว่าเดิมเป็น 2 เท่า ตลอดทั้งวัน ทุกเวลาที่ Google มองเห็นว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องกังวลเมื่อเป้าหมายคือการใช้งบประมาณต่อวันให้ได้ประโยชน์สูงสุด
หากคุณกำลังมองหาเอเจนซี่ด้านการตลาดดิจิทัลเพื่อมาช่วยวิเคราะห์และทำการตลาดให้คุณบน Google และช่องทางอื่นๆ แล้ว ทักมาหาเราได้ตลอดเวลา!
Source: Google