แนะนำ 5 เครื่องมือการทำ Technical SEO ในระดับองค์กร

แชร์ไปยัง:
คัดลอกลิงก์:
June 15, 2022
Author: Antonio Fernandez
Results Image

ต้องยอมรับว่าการทำ SEO ในปัจจุบันมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สาเหตุมาจากการที่ Search Engine ทุกตัวในตลาดคอยอัปเดตอัลกอริทึมเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้งานอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นงานหนักสำหรับทั้งผู้ที่กำลังเริ่มต้นทำ SEO และ SEO Specialist มากประสบการณ์ทุกคนที่จะต้องคอยศึกษาทำความเข้าใจตัวแปรต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อคอยปรับปรุงประสิทธิภาพให้อันดับของเว็บไซต์เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ 

โดยพื้นฐานการทำ SEO แบบเบสิคและการทำ SEO ในระดับองค์กรไม่ได้มีความแตกต่างกันในแง่ของคอนเซปต์สักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ต่างกันจริงๆ สำหรับการทำ SEO ในระดับองค์กรคือ SEO Specialist จะต้องมีความรู้สำหรับการทำ Techinical SEO ที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางโครงสร้างเว็บไซต์ การติดแท็กอัตโนมัติ การใช้ Canonical Tag รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพต่างๆ แบบเชิงลึก ประกอบกับเนื้องานที่ต้องคอยดูแลเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าการที่จะลดความซับซ้อนในการทำงานเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีเครื่องมือที่เป็นตัวช่วยเพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ในท้ายที่สุด ฉะนั้นในบทความนี้จะมาแนะนำเครื่องมือสำหรับการทำ Techinal SEO ระดับองค์กร รับรองว่าสามารถเลือกไปใช้งานจริงได้ทุกตัวแน่นอน

1. SEORadar

สำหรับการทำงานในระดับองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีหน้าเว็บไซต์ที่ต้องดูแลเป็นหลักหลายร้อยจนถึงหลักพัน อาจเป็นเรื่องยากที่จะคอยติดตามสถานะ URL ของแต่ละหน้า อย่าลืมว่าการไม่ตรวจสอบสถานะของ URL จะเป็นการสร้างผลเสียให้กับการทำ SEO ในระยะยาว 

โดย SEORadar เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีชื่อเสียงจากฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อติดตามสถานะของ URL เว็บไซต์ได้พร้อมกันจำนวนมากแบบเรียลไทม์ ผู้ใช้งานเพียงแค่เพิ่ม URL ที่ต้องการติดตาม จากนั้นไม่ว่า URL จะเกิดปัญหาอะไรก็ตามอย่างการเปลี่ยน Status Code จาก 200 เป็น Not Found 404 ระบบก็จะแจ้งเตือนทันทีเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ปัญหาได้ทันก่อนที่จะมีผลกระทบต่อเว็บไซต์ 

สำหรับราคาการใช้งาน SEORadar มีรายละเอียดดังนี้

จะเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่ราคาที่ดูจะเป็นมิตรสักเท่าไร แต่สำหรับองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีหน้าเว็บไซต์ที่ต้องคอยดูแลหลายร้อยไปจนถึงหลักหลายพันขึ้นไป คงไม่มีใครที่อยากจะมาเสียเวลานั่งมอนิเตอร์แต่ละหน้าเอง ฉะนั้นการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมก็จะเป็นเครื่องทุ่นแรงชั้นยอด รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับมาจะคุ้มยิ่งกว่าคุ้มแน่นอน 

2. Screaming Frog

Screaming Frog เป็นหนึ่งในเครื่องมือยอดฮิตของ SEO Specialist ทุกระดับตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงการทำ SEO ในระดับของบริษัทขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งในเครื่องมือการทำ SEO แบบ All-In-One ที่มีประสิทธิภาพการทำงานที่ได้ผลจริง ไม่ว่าจะตรวจสอบข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ของเว็บไซต์ ค้นหาคีย์เวิร์ด สร้าง Sitemap หรือตรวจสอบ Links ต่างๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม แม้มีความสามารถที่หลากหลายแต่ก็มีข้อจำกัดในการทำงานในระดับองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นในกรณีที่เป็นการทำ SEO ในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องดูแลหน้าเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก อาจต้องมองหาตัวเลือกอื่นแทน อย่างเช่น Botify DeepCrawl หรือ Oncrawl จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า 

สำหรับราคามีทั้งแบบฟรีให้เลือกใช้งานและแบบโปร อยู่ที่ 149€/ปี ต่อปีเท่านั้น! ด้วยราคาที่เป็นมิตรและมีฟีเจอร์ที่ครอบคลุมจึงไม่แปลกที่ Screaming Frog จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือการทำ SEO ที่ติดแทบทุกชาร์ตของบทความแนะนำเครื่องมือพื้นฐานในการทำ SEO ในปี 2022

3. Botify

หนึ่งในเครื่องมือที่มีชื่อเสียงสำหรับใครที่ต้องการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ (Crawl) เพื่อตรวจสอบปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์อย่างการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ (Crawl) จัดกลุ่มข้อมูล (Data Segmentation) ตรวจสอบคีย์เวิร์ดจากคำค้นหาของผู้ใช้งาน และสามารถเช็ก Log Files ต่างๆ ได้ทันที

โดยการรวบรวมข้อมูลบนเว็บไซต์ผ่าน Botify จะใช้ความเร็วที่ 250 URLs/วินาที และสามารถเรนเดอร์ไฟล์ JavaScript ได้ที่ 100 URLs/วินาที เช่นเดียวกับการตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่สามารถค้นหาได้แบบไม่จำกัดและสามารถผสานการทำงานร่วมกับ Analytics Tools อื่นๆ เช่น Google Search Console ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Botify Inteligence ที่ใช้ระบบ Machine Learning ในการจัดลำดับความสำคัญของโอกาสที่จะสร้างผลกระทบต่อการทำ SEO และแจ้งเตือนทันทีเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที 

สำหรับราคาการใช้งาน Botify ในทุกแพคเกจไม่มีการระบุเอาไว้ แต่มี 3 ระดับให้ผู้ใช้งานเลือกโดยสามารถติดต่อสอบถามราคาได้ โดยจะยึดตามความต้องการของผู้ใช้งานเป็นหลัก

4. Deepcrawl

อีกหนึ่งเครื่องมือช่วยเหลือการทำ SEO แบบ All-In-One ที่มีฟีเจอร์อย่างการรวบรวมข้อมูลพร้อมกับการวิเคราะห์เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปรับปรุงได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างเว็บไซต์ ขนาดไฟล์ ปัญหาการ Redirects และอื่นๆ โดยมีฟีเจอร์ Deepcrawl Monitor Hub ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ได้ทันทีด้วยการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังมีแดชบอร์ดที่ระบุข้อมูลที่ครอบคลุมการทำงานต่างๆ ในทุกหน้าของเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ง่าย 

สำหรับราคาบนเว็บไซต์ DeepCrawl ไม่ได้กำหนดราคาไว้แต่อย่างใด โดยจะมีสองแพคเกจเบื้องต้นให้เลือกคือแบบ DeepCrawl Detect และ DeepCrawl Protect

5. Oncrawl

อีกหนึ่งเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการทำ Techincal Audit โดยเฉพาะ ด้วยฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรวบรวมข้อมูล SEO บนเว็บไซต์ ผ่านระบบ Machine Learning ที่จะช่วยระบุข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ต่อผู้ใช้งานเพื่อที่จะนำไปปรับปรุงประสิทธิภาพการทำ SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ด้วยราคาที่ไม่ได้แพงมากหากเทียบกับเครื่องมือตัวอื่นๆ ในตลาด Oncrawl จึงมาพร้อมกับฟีเจอร์พื้นฐานทั่วไปสำหรับการตรวจสอบเว็บไซต์ที่ครบถ้วน แต่อาจไม่มีฟีเจอร์เสริมอย่างการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์  

สำหรับราคาการใช้งานราคาถูกสุดเพียงแค่ 49€/เดือน เท่านั้น เหมาะสำหรับองค์กรหรือบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการทำ SEO 

อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการทำ SEO ในระดับองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้เครื่องมือที่มีฟังก์ชันที่ครบครันหรือเลือกใช้อันที่มีราคาแพงที่สุดเสมอไป แต่ควรดูที่เนื้อหาของงานที่ต้องทำเป็น First-Priority หลักก่อนเสมอ เช่น ในกรณีที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่แต่เว็บไซต์ที่ใช้จริงๆ มีเพียงแค่ไม่กี่หน้า ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องมือราคาแพงแต่อย่างใด แต่หากเป็นบริษัทขนาดเล็กแต่ทำธุรกิจประเภท E-Commerce ที่อาศัยหน้าเว็บไซต์ในการนำเสนอสินค้าหลายพันชนิด ก็ต้องเลือกใช้เครื่องมือที่สามารถครอบคลุมการทำงานให้ครบทุกส่วนเพื่อที่จะได้ประหยัดทั้งเงินทั้งเวลาในการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience

Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 

โทร.: 02-038-5055 

อีเมล: info@relevantaudience.com เว็บไซต์: www.relevantaudience.com

Antonio Fernandez

Antonio Fernandez

ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Relevant Audience ผู้นำด้านการตลาดดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปีในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัล เขาได้นำพาทีมงานในการสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าผ่านโซลูชันดิจิทัลที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ

แชร์ไปยัง:
คัดลอกลิงก์:

Latest Updates

Our most recently updated articles across all topics.

แคมเปญ Google Shopping เข้าแทนที่ Google Search Ads
General topics

March 11, 2021

แคมเปญ Google Shopping เข้าแทนที่ Google Search Ads
เป็นเวลานานหลายปีที่นักการตลาดและบริษัทอีคอมเมิร์ซใช้จ่ายเงินไปกับ Google Search Ads เพื่อให้เว็บไซต์และโฆษณาของตนปรากฏอยู่ด้านบนของผลการค้นหาแบบออร์แกนิก อย่างไรก็ตาม Google ได้ลดระดับ Search Ads ลงหนึ่งขั้น และเพิ่ม “แคมเปญ Google Shopping” ไปยังด้านบนของผลการค้นหา แคมเปญ Google Shopping คืออะไร?...
Google Remarketing Ads คืออะไร
General topics

March 11, 2021

Google Remarketing Ads คืออะไร
คุณเป็นเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือมีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือไม่? ถ้าใช่ ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณมาถูกที่แล้ว! สถิติ แสดงให้เห็นว่าอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าออนไลน์ทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นและปัจจุบันสูงถึง 69.57% เราทุกคนเคยผ่านประสบการณ์ในการเข้าชมเว็บไซต์ออนไลน์เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วจากไปโดยหวังว่าจะกลับมาในภายหลัง ซึ่งมักจะไม่เกิดขึ้น นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซทั้งหมดเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการซื้อได้ Dynamic Remarketing คืออะไร? กล่าวอย่างง่ายๆ Dynamic Remarketing คือ Google...
General topics

March 11, 2021

ธุรกิจของคุณพร้อมสำหรับพระราชบัญญัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแห่งประเทศไทยหรือไม่?
[vc_row][vc_column][vc_column_text] PDPA คืออะไร? พระราชบัญญัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้รับการเผยแพร่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 PDPA ประเทศไทยมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมการเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงหรือโดยอ้อม PDPA ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อปกป้องเจ้าของข้อมูลจากการกระทำที่ผิดกฎหมายต่อข้อมูลส่วนบุคคลของตน กฎหมายนี้ใช้กับองค์กรส่วนใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือต่างประเทศ...