4 เช็คลิสต์ เตรียมตัวให้พร้อมกับ ‘First-Party Data’

แชร์ไปยัง:
คัดลอกลิงก์:
April 5, 2022
Author: Antonio Fernandez
Results Image

First-Party Data ได้กลายมาเป็นคำศัพท์ยอดฮิตในแวดวงการตลาดออนไลน์ สำหรับใครที่มีประสบการณ์ในการทำการตลาดออนไลน์คงพอที่จะผ่านหูผ่านตากันมาแล้วบ้าง กับการเปลี่ยนแปลงที่ให้แบรนด์เป็นคนเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานได้โดยตรง และเปิดทางเลือกให้ผู้ใช้งานมีสิทธิ์ที่จะเลือกให้หรือไม่ให้แอปฯ หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เก็บข้อมูลของผู้ใช้งานได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมาก ทำให้การเก็บข้อมูลแบบ First-Party Data กลายเป็นระเบียบแบบแผนใหม่ที่ถูกกำหนดเป็นค่าเริ่มต้นในการเก็บข้อมูลเพื่อการตลาดออนไลน์ไปโดยปริยาย

ในบทความนี้ Relevant Audience จะชวนนักการตลาดมาเช็คลิสต์ 4 ข้อว่าพร้อมแล้วหรือยังสำหรับการปรับเปลี่ยนมาเก็บข้อมูลแบบ First-Party Data 

1.ปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นสิ่งสำคัญ

มีข้อควรพิจารณาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดการเก็บข้อมูลแบบ First – Party Data ดังนี้

สิ่งสำคัญคือแบรนด์จะต้องมีการจัดเก็บข้อมูล First-Party Data อย่างถูกกฏหมายตามหลักสากล ตัวอย่างเช่น  GDPR (General Data Protection Regulation) หรือ PDPA (Personal Data Protection Act) 

  • การติดตามข้อมูล (Tracking Data)

การติดตามข้อมูลเป็นเรื่องที่ต้องพึงระวังทั้งสำหรับนักการตลาดและผู้ใช้งาน สำหรับนักการตลาดที่ใช้ Google Analytics ในการทำงานจำเป็นต้องใช้ Global Site Tags (สอดคล้องกับข้อกำหนดของ GDPR) และต้องได้รับการยืนยันจากผู้ใช้งานว่ายินยอมให้มีการติดตามข้อมูล

2.กระบวนการยินยอมของผู้ใช้งาน ต้องสร้างความเชื่อมั่น

กระบวนการยินยอมให้มีการติดตามข้อมูลของผู้ใช้งานเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะฉะนั้นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้ามนี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คอยฉุดรั้งยอด Engagement ของแบรนด์ได้ เช่นนั้นในการออกแบบเว็บไซต์อย่าลืมที่จะพิจารณาให้รอบคอบและสร้างสรรค์เสมอ ปัจจุบันมีแนวทางที่หลากหลายที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานได้มากขึ้น เช่น

  • คำอธิบายต้องเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และบอกแบบตรงไปตรงมา
  • มีลิงก์ที่เชื่อมต่อไปยังนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy or Cookie Policy)
  • ผู้ใช้งานสามารถเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธก็ได้

การใช้ภาษาอย่างสร้างสรรค์ของแบรนด์จะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น

ในหน้าการยินยอมการติดตามข้อมูลของผู้ใช้งานของเว็บไซต์ Hubspot’s มีการใช้ข้อความที่ระบุว่า “เราใช้คุกกี้เพื่อทำให้เว็บไซต์ Hubspot เป็นพื้นที่ที่ดีขึ้น เพราะคุกกี้จะช่วยมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวให้เพิ่มมากขึ้นและมีการจำกัดโฆษณาที่เหมาะสมให้แก่คุณ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดคลิกดูเพิ่มเติม” จะเห็นได้ว่าการสื่อสารแบบตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์กลายเป็นการสร้าง CTA ที่น่าสนใจให้กับผู้ใช้งาน เป็นต้น

3.เก็บข้อมูล First-Party Data แบบเต็มประสิทธิภาพแล้วหรือไม่ ?

แน่นอนว่าข้อมูลแบบ First-Party Data มีประโยชน์มากมาย ตั้งแต่ช่วยในการกำหนดกลุ่ม Target Audience ไปจนถึงการติดตามพฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้งาน อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้อาจเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้นักการตลาดมือใหม่ตกหลุมพรางในการใช้ข้อมูลเพียงช่องทางเดียว 

สิ่งสำคัญคืออย่าลืมที่จะตั้งค่าให้รายชื่อ Customer List ในลักษณะที่สามารถซิงค์กับแพลตฟอร์มโฆษณาอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น LinkedIn, Facebook, Google, Microsoft และ Twitter เพราะการเลือกใช้กลุ่ม Audience ที่หลากหลายตามแต่ละแพลตฟอร์มจะช่วยให้เพิ่มโอกาสในการค้นหาผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหม่ 

4.ควรรีบย้ายในทันทีหรือไม่ ?

หากตัดสินใจได้แล้วว่าจะเริ่มใช้การเก็บข้อมูลแบบ First-Party Data คำถามที่มักตามมาคือ แล้วจะเริ่มเปลี่ยนได้ตอนไหน? หรือผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวเป็นอย่างไร? เรื่องนี้อาจต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจตามมาในภายหลังได้

แน่นอนว่าในการเปลี่ยนโครงสร้างการเก็บข้อมูลเป็นเรื่องใหญ่ ตัวอย่าง เช่น หากโครงสร้างโดเมนในปัจจุบันของเว็บไซต์ไม่ได้มีการรองรับสำหรับการเก็บชุดข้อมูลแบบ First-Party Data อาจเป็นเรื่องยุ่งยากในการตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนในทันทีหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในระยะยาวแต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่สูงมากขึ้น อย่างไรก็ตามในยุคที่การแข่งขันต้องขึ้นอยู่กับ Personalization มากขึ้น การปรับเปลี่ยนธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้ไวอยู่เสมอ อย่าลืมว่าภายในปี 2023 กูเกิลจะหยุดซัพพอร์ต Third-Party Data โดยสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นนักการตลาดที่ดีต้องไม่ลืมที่จะบาลานซ์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้เกิดโซลูชันที่ดีที่สุดต่อแคมเปญโฆษณาของแบรนด์

รับปรึกษาการทำ Digital Marketing ที่ Relevant Audience

Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 

โทร.: 02-038-5055 

อีเมล: info@relevantaudience.com 

เว็บไซต์: www.relevantaudience.com 

Antonio Fernandez

Antonio Fernandez

ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Relevant Audience ผู้นำด้านการตลาดดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปีในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัล เขาได้นำพาทีมงานในการสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าผ่านโซลูชันดิจิทัลที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ

แชร์ไปยัง:
คัดลอกลิงก์:

Latest Updates

Our most recently updated articles across all topics.

แคมเปญ Google Shopping เข้าแทนที่ Google Search Ads
General topics

March 11, 2021

แคมเปญ Google Shopping เข้าแทนที่ Google Search Ads
เป็นเวลานานหลายปีที่นักการตลาดและบริษัทอีคอมเมิร์ซใช้จ่ายเงินไปกับ Google Search Ads เพื่อให้เว็บไซต์และโฆษณาของตนปรากฏอยู่ด้านบนของผลการค้นหาแบบออร์แกนิก อย่างไรก็ตาม Google ได้ลดระดับ Search Ads ลงหนึ่งขั้น และเพิ่ม “แคมเปญ Google Shopping” ไปยังด้านบนของผลการค้นหา แคมเปญ Google Shopping คืออะไร?...
Google Remarketing Ads คืออะไร
General topics

March 11, 2021

Google Remarketing Ads คืออะไร
คุณเป็นเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือมีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือไม่? ถ้าใช่ ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณมาถูกที่แล้ว! สถิติ แสดงให้เห็นว่าอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าออนไลน์ทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นและปัจจุบันสูงถึง 69.57% เราทุกคนเคยผ่านประสบการณ์ในการเข้าชมเว็บไซต์ออนไลน์เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วจากไปโดยหวังว่าจะกลับมาในภายหลัง ซึ่งมักจะไม่เกิดขึ้น นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซทั้งหมดเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการซื้อได้ Dynamic Remarketing คืออะไร? กล่าวอย่างง่ายๆ Dynamic Remarketing คือ Google...
General topics

March 11, 2021

ธุรกิจของคุณพร้อมสำหรับพระราชบัญญัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแห่งประเทศไทยหรือไม่?
[vc_row][vc_column][vc_column_text] PDPA คืออะไร? พระราชบัญญัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้รับการเผยแพร่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 PDPA ประเทศไทยมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมการเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงหรือโดยอ้อม PDPA ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อปกป้องเจ้าของข้อมูลจากการกระทำที่ผิดกฎหมายต่อข้อมูลส่วนบุคคลของตน กฎหมายนี้ใช้กับองค์กรส่วนใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือต่างประเทศ...