ในยุคที่การค้นหาข้อมูลออนไลน์มีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค Google Ads ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับแบรนด์และนักการตลาดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยล่าสุด Google ได้ประกาศการอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับแพลตฟอร์ม Google Ads โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบจับคู่คำค้นหา (Search Term Matching) และเพิ่มการควบคุมแบรนด์สำหรับนักโฆษณา มาดูกันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีอะไรบ้าง และจะส่งผลอย่างไรต่อกลยุทธ์การทำโฆษณาออนไลน์ของเรา
ความก้าวหน้าของ AI กับการพัฒนา Google Ads
ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกรายละเอียดของการอัปเดตครั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Google กำลังนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้อย่างเต็มที่ในการพัฒนา Google Search และ Google Ads Algorithm โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา การปรับปรุงคุณภาพ ความเกี่ยวข้องและความเข้าใจภาษาของ AI ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจับคู่แบบกว้าง (Broad Match) สำหรับนักโฆษณาที่ใช้ Smart Bidding ถึง 10% เลยทีเดียว
Google Ads Update สำคัญ 4 ประการ
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2024 ที่ผ่านมา ทาง Google ได้เปิดตัวอัปเดตเกี่ยวกับ Query Matching ถึง 4 ประการ เพื่อปรับปรุงการจับ Search Term และการควบคุมคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับแบรนด์ จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง เราได้สรุปมาให้แล้ว!
1. Recommendation ใหม่สำหรับการทำ Brand Inclusion ใน Broad Match
ใครที่คุ้นเคยกับ Google Ads Search Terms คงทราบกันดีกว่า Broad Match เป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยให้แบรนด์กลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น แต่ในขณะเดียวกับกลุ่มเป้าหมายก็อาจเห็นโฆษณาอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับแบรนด์เราด้วย หรือพูดง่ายๆ ว่าอาจมีการแข่งขันเพิ่มขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ Google จึงพัฒนาฟีเจอร์ Brand Inclusion (เดิมชื่อ Brand Restrictions) ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถระบุชื่อแบรนด์ที่ต้องการให้โฆษณาปรากฏได้ง่ายขึ้นเมื่อใช้ Broad Match
วิธีใช้งาน Brand Inclusion:
- เข้าไปที่หน้า “คำแนะนำ” (Recommendations) ใน Google Ads
- มองหาคำแนะนำเกี่ยวกับ “Brand Inclusion”
- เลือก Campaign แบรนด์ที่ต้องการปรับปรุง
- Google จะแนะนำรายชื่อแบรนด์ให้สำหรับแต่ละ Campaign แต่เราสามารถแก้ไขหรือเลือกรายชื่อแบรนด์เองได้
ข้อควรระวัง: เมื่อเปิดใช้งานใช้ฟีเจอร์นี้ ระบบจะเปลี่ยนการตั้งค่า Campaign เป็น Broad Match Campaign โดยอัตโนมัติ พร้อมกับอัปเดตคีย์เวิร์ดใน Campaign ให้เป็นแบบกว้างอีกด้วย
ทั้งนี้ Google ก็ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจาก Citroën แบรนด์รถยนต์จากฝรั่งเศส ที่ทำ Broad Match Campaign โดยใช้ Brand Inclusion ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ยอด Conversion เพิ่มขึ้นถึง 50% และ Cost Per Lead นั้นลดลงถึง 35% อีกด้วย
2. อัปเดต Brand Exclusion ในทุกๆ Match Types และ Dynamic Search Ads
ในขณะที่ Brand Inclusion ใน Broad Match ให้เราเลือกแบรนด์ที่ต้องการให้โฆษณาปรากฏ แต่ในทางกลับกัน Brand Exclusions คือ ฟีเจอร์ที่ให้เราสามารถเลือกแบรนด์ที่ไม่ต้องการให้โฆษณาปรากฏ ในทุกรูปแบบการจับคู่คีย์เวิร์ด รวมถึง Dynamic Search Ads ซึ่งได้มีข้อแนะนำการเลือกใช้ฟีเจอร์ Brand Exclusion ดังนี้
- ถ้าต้องการทำ Broad Match แต่ต้องการแสดงโฆษณาเฉพาะกับ Brand Traffic บางแบรนด์เท่านั้น สามารถใช้ Brand Exclusion เพื่อจำกัดจำนวน Traffic ที่ได้จากคีย์เวิร์ดของแบรนด์นั้นๆ
- หากไม่ต้องการให้โฆษณาปรากฏกับ Brand Traffic ของบางแบรนด์ ให้ใช้ Brand Exclusion
ข้อควรระวัง: การใช้ Brand Exclusion จะเป็นการบล็อก Traffic จากการสะกดแบรนด์ผิดๆ ด้วย ดังนั้น เราจึงควรติดตามผลกระทบต่อการมองเห็นและประสิทธิภาพของโฆษณา เพื่อให้ไม่พลาดโอกาสสร้าง Coversion ดีๆ นั่นเอง
3. เพิ่มความโปร่งใสใน Search Terms Report
Google ตระหนักดีว่า การสะกดผิดเป็นเรื่องปกติในการค้นหา แม้ว่า Google Ads จะสามารถจับคู่คำค้นหาที่สะกดผิดกับคีย์เวิร์ดที่ถูกต้องได้อยู่แล้ว (เช่น Yiutube กับ YouTube) แต่คำค้นหาต้องผ่านเกณฑ์ Privacy Threshold จึงจะปรากฏในรายงาน Search Terms Report ซึ่งคำที่สะกดผิดส่วนใหญ่มักไม่ผ่านเกณฑ์นี้ ทำให้เหล่านักโฆษณาต้องเข้าไปดูคำที่สะกดผิดในแทบ “Other” อยู่บ่อยๆ
โดยในการอัปเดตใหม่ครั้งนี้ ทำให้คำค้นหาที่สะกดผิดถูกรายงานพร้อมกับคำที่สะกดถูกต้องแล้ว ซึ่งทาง Google แจ้งว่าโดยเฉลี่ยทำให้เราเห็นข้อมูลคำค้นหาที่สะกดผิดที่เคยอยู่ในแทบ “Other” ได้มากขึ้นถึง 9%
4. บล็อกคำค้นหาที่สะกดผิดได้ง่ายขึ้น
Google ได้นำพฤติกรรมการจัดการกับคำสะกดผิดใน Search Terms Report มาใช้กับ Negative Keywords ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ หากต้องการยกเว้นคำที่สะกดผิด เราต้องเพิ่มทุกรูปแบบการสะกดผิดเป็นคีย์เวิร์ดเชิงลบแบบ Manual เอง แต่ตอนนี้ นักโฆษณาสามารถยกเว้นการสะกดผิดของคำคำหนึ่งได้ด้วย Negative Keyword เพียง 1 คำเท่านั้น นับเป็นตัวช่วยประหยัดเวลาในการจัดการแคมเปญโฆษณาได้ดีทีเดียว
Brand Inclusion, Brand Exlusion และ Negative ทำงานยังไง?
พอมีอัปเดต Google Ads Search Terms ครั้งใหญ่แบบนี้ หลายคนอาจจะสับสนว่าระหว่าง Brand Inclusion, Brand Exlusion และ Negative จะเลือกใช้อะไรดี ถ้าอย่างนั้นขอยกตัวอย่าง ดังนี้
สมมติว่าเราจะใช้คีย์เวิร์ด “music streaming” เป็น Search Term และผู้ใช้งานมักมีการค้นหาด้วยคำเหล่านี้: “YouTube music”, “music streaming”, “yiutube music”, “google music app”
- Negative Keywords: หากเราเพิ่มคำว่า “YouTube” เป็น Negative Keyword โฆษณาของเราก็จะไม่ปรากฏเมื่อมีการค้นหาด้วยคำว่า “YouTube music” และ “yiutube music” แต่จะยังปรากฏสำหรับคำค้นหาอื่นๆ เช่น “music streaming” และ “google music app”
- Brand Inclusions (ใช้ได้เฉพาะ Broad Match): ถ้าเราเพิ่ม “YouTube” ในรายการ Brand Inclusion โฆษณาของเราจะแสดงผลเฉพาะสำหรับ “YouTube music” และ “yiutube music” เท่านั้น และไม่แสดงผลกับคำอื่นๆ อย่าง “music streaming”
- Brand Exclusions: ถ้าเพิ่มคำว่า “YouTube” ในเข้าไปใน Brand Exclusion โฆษณาของเราจะไม่ปรากฏสำหรับ “YouTube music”, “yiutube music” และ “google music app” แต่จะยังแสดงผลสำหรับคำค้นหา “music streaming” อยู่
อัปเดตนี้สำคัญต่อการโฆษณาผ่าน Google Ads อย่างไร
1. ควบคุมแบรนด์ได้ดีขึ้น
นักโฆษณาและแบรนด์สามารถกำหนดได้ว่าต้องการให้โฆษณาปรากฏหรือไม่ปรากฏกับ Search Term ใดบ้าง รวมไปถึง Search Term ที่เกี่ยวกับแบรนด์ จึงช่วยในการบริหารภาพลักษณ์และ Brand Positioning
2. ประสิทธิภาพการโฆษณาที่ดีขึ้น
การจับคู่ Search Term ที่แม่นยำขึ้นช่วยให้กลุ่มเป้าหมายที่ใช่มองเห็นโฆษณามากขึ้น ส่งผลให้ CTR และ Conversion เพิ่มขึ้น
3. ข้อมูลเชิงลึกที่มากขึ้น
รายงาน Search Terms Report ที่รวมคำค้นหาที่สะกดผิดช่วยให้นักโฆษณาเข้าใจพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น สามารถนำข้อมูลนี้ไปปรับปรุงกลยุทธ์การวางคีย์เวิร์ดและเนื้อหาโฆษณาได้
4. ประหยัดเวลาในการจัดการ Campaign
ด้วยความสามารถในการบล็อกคำค้นหาที่สะกดผิดที่ง่ายขึ้น จึงช่วยลดเวลาในการจัดการ Negative Keyword ทำให้นักโฆษณาสามารถโฟกัสกับการพัฒนากลยุทธ์อื่นๆ ได้มากขึ้น
5. รองรับการใช้งาน AI
การอัปเดตนี้สอดคล้องกับเทรนด์การใช้ AI ในการโฆษณาออนไลน์ที่มากขึ้น โดยตัว AI ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์และนักโฆษณาสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของ Campaign
สรุป
การอัปเดต Google Ads Search Terms ครั้งใหญ่นี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Google ในการพัฒนาแพลตฟอร์มโฆษณาให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ควบคู่ไปกับการเพิ่มความยืดหยุ่นในการควบคุม Ad Campaign ให้แก่นักโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของ Broad Match ฟีเจอร์ Inclusion และ Exclusion รวมไปถึงความโปร่งใสในการรายงาน Search Terms Report จะช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญโฆษณาที่ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากการอัปเดตเหล่านี้อย่างเต็มที่ จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำงานของแต่ละฟีเจอร์ การทดสอบอย่างต่อเนื่อง และการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจ สำหรับนักโฆษณา ขอแนะนำให้เริ่มศึกษาและทดลองใช้ฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้โดยเร็ว เพื่อค้นหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแคมเปญของตน และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ท้ายที่สุด การอัปเดตนี้ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาเครื่องมือโฆษณา แต่ยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม Advertising และ Marketing ที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ AI อย่างเต็มรูปแบบ พูดได้ว่า นักการตลาดที่สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ จะเป็นผู้ที่ได้เปรียบในการแข่งขันในอนาคต
เกี่ยวกับ Relevant Audience
พวกเรา Relevant Audience คือ Digital Performance Marketing Agency ที่เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO และเป็นหนึ่งใน Digital Agency ที่มีบริการด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจร เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในเวลา สถานที่ และบนอุปกรณ์ที่เหมาะสม (Right Time, Right Place, Right Device)
บริการของเราครอบคลุมทั้งบริการทำ SEO, Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads ไปจนถึง Influencer Marketing และเรายังเป็น SEO Company ที่เป็น Google Partners อีกด้วย โดยทีมของเราล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้คำปรึกษาและค้นหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาทำการตลาดออนไลน์
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com