เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “เว็บไซต์เป็นพนักงานขายคนแรก” หรือไม่? เพราะว่าเว็บไซต์เป็นพื้นที่ในการบอกรายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบริษัท และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดผู้ที่มีแนวโน้มจะเข้ามาเป็นลูกค้าได้ง่ายที่สุด กล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือเว็บไซต์เปรียบได้กับหนึ่งในพนักงานของบริษัท เช่นเดียวกันกับการที่ต้องจัดอบรมให้กับพนักงานในบริษัท ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เว็บไซต์ก็ควรที่จะมีการปรับปรุงและคอยประเมินประสิทธิภาพให้ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา และหากจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ควรลังเลที่จะพิจารณาการออกแบบเว็บไซต์ใหม่เพื่อให้ตอบรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นทันที
โดยเฉลี่ยแล้วบริษัทต่างๆ ทั่วโลกจะเริ่มออกแบบเว็บไซต์ใหม่ในทุกๆ สองถึงสามปี แน่นอนว่าการออกแบบเว็บไซต์ใหม่จะสามารถช่วยเพิ่มอันดับในการค้นหาบน Search Engine ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีอย่างเดียว เพราะการออกแบบเว็บไซต์ที่ไม่ได้มีความระมัดระวังที่มากพอ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้ เช่น ปัญหาการเข้าชมที่ลดลง (Loss Web Traffic) ทำให้ในบทความนี้ Relevant Audience จะมาแนะนำ 8 ขั้นตอนที่หากทำตามแล้ว การออกแบบเว็บไซต์ใหม่ครั้งนี้ จะไม่มีทางส่งผลเสียต่อ SEO Search Ranking แน่นอน
ขั้นตอนที่ 1 ออกแบบเว็บไซต์บน Temporary URL / Test Site
ขั้นตอนแรกในกระบวนการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ คือการทดสอบออกแบบเว็บไซต์บน Temporary URL ตัวอย่าง เช่น หากเว็บไซต์เป็นรูปแบบ CMS อย่าง WordPress ในการออกแบบเว็บไซต์ก็สามารถเลือกสร้างเว็บไซต์สำรองบน Donaim Name อื่น ได้ง่ายๆ ทันที แต่หากเว็บไซต์เป็นรูปแบบ Custom CMS ก็จำเป็นที่จะต้องสร้าง Subfolder ขึ้นมาก่อน เพื่อให้เป็นพื้นที่ในการออกแบบเว็บไซต์ใหม่แทน
การออกแบบเว็บไซต์บน Temporary URL จะช่วยให้การแก้ไขหรือปรับแต่งเว็บไซต์ใหม่ไม่ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ในปัจจุบันที่ใช้งานอยู่ และยังสามารถใช้พื้นที่นี้ในการทดสอบฟังก์ชันใหม่ๆ ที่อาจใส่เพิ่มเติมเข้าไปบนเว็บไซต์ใหม่ได้อีกด้วย
ขั้นตอนที่ 2 ประเมินหาข้อดี-ข้อเสียของเว็บไซต์เดิม
ในการออกแบบเว็บไซต์ใหม่จะรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรที่ควรปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือมีอะไรบนเว็บไซต์ที่ดีอยู่แล้วและไม่อยากให้หายไป แน่นอนว่าการตรวจสอบหน้าเว็บไซต์เก่าให้ละเอียดที่สุดเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญก่อนการเริ่มต้นออกแบบเว็บไซต์ใหม่ เพื่อให้สามารถระบุได้ว่ามีองค์ประกอบสำคัญอะไรบ้างที่ช่วยเพิ่มโอกาสกระตุ้นการเข้าชมของผู้ใช้งาน หรือมีสิ่งใดในเว็บไซต์ที่อาจส่งผลต่อประสบการณ์เชิงลบให้กับผู้ที่เข้ามาใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าองค์ประกอบเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขและจะไม่ถูกส่งต่อไปยังเว็บไซต์ใหม่ ตัวอย่างปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำ SEO ในการออกแบบเว็บไซต์ เช่น
- ปัญหา Missing Page Titles
- ปัญหา Duplicate Page Titles
- ขนาดของ Page Titles ที่มากกว่า 512 พิกเซล
- ขนาดของ Page Titles ที่ต่ำกว่า 200 พิกเซล
- ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ H1 Tags
- ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ Meta Descriptions
- ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ Canonical Tag
- ปัญหา Broken Internal/External Links
- ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ Image Alt Text
ขั้นตอนที่ 3 การใช้ NO Index บน Temporary URL / Test Site
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในการออกแบบเว็บไซต์ใหม่คือ การไม่ใช้ Robots Meta Tags อย่างการใช้ฟังก์ชัน “No Index Tag” เพราะความสำคัญของฟังก์ชัน “No Index Tag” นี้จะคอยป้องกันไม่ให้แสดงผลหน้าเว็บไซต์ที่กำลังออกแบบใหม่นี้บน Search Engine แน่นอนว่าเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้รับการปรับแต่งให้ถูกต้องตามหลัก SEO หากเผลอปล่อยให้ใครก็ตามเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ที่ยังไม่สมบูรณ์นี้จะส่งผลเสียต่อการจัดอันดับหน้าเว็บไซต์อย่างแน่นอน
ขั้นตอนที่ 4 เริ่มต้นออกแบบเว็บไซต์ใหม่
หลังจากที่ใช้ฟังก์ชัน No Index Tag แล้ว ก็สามารถเริ่มออกแบบเว็บไซต์ใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของ SEO แต่แน่นอนว่าในกระบวนการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ต้องไม่ลืมที่จะมีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับหลักการทำ SEO ที่ถูกต้องในทุกขั้นตอน ตัวอย่างเช่นหากมีแผนการเปลี่ยนแปลง URL และบนเว็บไซต์เก่ามี Backlink Profile ที่ดีมากอยู่แล้ว ในการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ จะวางแผนในการทำ Redirect 301 รักษา Backlink Profile นี้บนเว็บไซต์ใหม่อย่างไร หากอยากหลีกเลี่ยงปัญหาขั้นตอนการทำ SEO ที่อาจจะเพิ่มความยุ่งยากให้กับกระบวนการออกแบบเว็บไซต์ แนะนำว่าให้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ SEO ที่มีประสบการณ์ เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะดีที่สุด
ขั้นตอนที่ 5 ทดสอบเว็บไซต์
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนออกแบบเว็บไซต์ และปรับแต่งเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะรวบรวมข้อมูลอินไซด์ต่างๆ ของเว็บไซต์เพื่อปรับปรุงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการออกแบบเว็บไซต์ หนึ่งในเครื่องมือที่คนทำ SEO ต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี คือเครื่องมือที่เรียกว่า Screaming Frog โดยจะมีไว้ใช้ตรวจสอบปัญหาต่างๆ เช่น
- การเกิด Broken Links ภายในเว็บไซต์
- ความถูกต้องของ Page Titles
- Meta Descriptions
- ตรวจสอบการ Redirect ของเว็บไซต์
- Page Speed
ในขั้นตอนการทดสอบนี้อาจใช้เวลาตั้งแต่สองถึงสามวันจนถึงสองถึงสามสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับกระบวนการทำ SEO ของเว็บไซต์ว่ามีมากหรือน้อยแค่ไหน จำไว้ว่าการเปิดใช้งานเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างพิถีพิถัน อาจเปิดเผยจุดบกพร่องที่ไม่คาดคิดและนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงที่แก้ไขได้ยากในอนาคต
ขั้นตอนที่ 6 เปลี่ยนเส้นทางเว็บไซต์ (Redirect Website)
อีกหนึ่งขั้นตอนที่หลายคนมักที่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ในความเป็นจริงถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการออกแบบเว็บไซต์คือ การเปลี่ยนเส้นทางของเว็บไซต์ (Redirect Website) เพราะปัญหาลิงก์เสียด้วยสาเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ไฟล์บนหน้าเว็บถูกลบออกไปแล้ว หรือมีการเปลี่ยนชื่อโดเมนของบทความแต่ยังอยากใช้เนื้อหาเดิมอยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือต่อให้เราแก้ไขบนเว็บไซต์ไปแล้ว แต่ลิงก์ที่เสียเหล่านั้นก็ยังติดอยู่บนกูเกิล เวลามีคนที่เข้ามาแล้วเจอเว็บไซต์ แต่ลิงก์ที่เจออาจเป็นลิงก์เก่าทำให้เกิดปัญหาเจอหน้า 404 Error หรือ 401 Error กลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้จะคอยสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ใช้งานและอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อเว็บไซต์ในระยะยาว
ขั้นตอนที่ 7 อย่าลืมอัปเดต XML Sitemaps
หากลองนึกภาพว่าเว็บไซต์เป็นหนังสือ XMLSitemap ก็เปรียบเสมือนกับสารบัญในหนังสือ เป็นส่วนที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้มีกี่บท แต่ละบทชื่ออะไรบ้าง ในการเริ่มต้นออกแบบเว็บไซต์ต้องไม่ลืมที่จะทำ XML Sitemap เพราะถือเป็นการวางแผนโครงร่างของเว็บไซต์ทำให้มองเห็นภาพรวมทั้งหมด สำหรับการอัปเดต XML Sitemap ก็เป็นส่วนสำคัญในการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ เนื่องจากจะเป็นการบอกให้ระบบ Google Search Bot ทราบว่าหน้าไหนที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือถูกลบไปแล้วบ้าง โดยวิธีการอัปเดต XML Sitemap ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากหากใช้ WordPress เพียงแค่ติดตั้ง Yoast SEO Plugin จากนั้นก็จะสามารถใช้ตัวปลั๊กอินนี้ในการสร้าง Sitemap ของเว็บไซต์และสามารถอัปเดตข้อมูลให้ล่าสุดได้ตามที่ต้องการ
ขั้นตอนที่ 8 ตรวจสอบทุกอย่างซ้ำอีกสักรอบ
เมื่อทำตามทุกขั้นตอนเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะส่งเว็บไซต์ใหม่สู่หน้าแรกบนหน้า SERPs อย่างไรก็ตามอย่าลืมที่จะตรวจสอบทุกอย่างซ้ำอีกสักหนึ่งรอบเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลหากมีปัญหาเล็กน้อยเกิดขึ้นเพราะถือเป็นเรื่องปกติของการทำเว็บไซต์ เพียงแต่ต้องแน่ใจว่ามีการตรวจสอบและคอยปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์อยู่เสมอ
รับปรึกษาการทำ SEO ที่ Relevant Audience
Relevant Audience บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ Digital Performance Marketing Agency โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล ให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลา สถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ บริการของเราครอบคลุมทั้ง Search Marketing, Social Media Ads, Search Ads และ SEO (Search Engine Optimization) ไปจนถึง Influencer Marketing และยังเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Google Partners อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร.: 02-038-5055
อีเมล: info@relevantaudience.com
เว็บไซต์: www.relevantaudience.com